Kostenlos

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ

Text
0
Kritiken
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 13

เจ้าชายกาเร็ธเสด็จไปตามเส้นทางผ่านป่าอย่างรวดเร็ว โดยมีเฟิร์ธเดินไปเคียงข้าง ทรงดึงผ้าขึ้นคลุมพระเศียรไว้ แม้อากาศจะร้อน พระองค์แทบไม่ทรงเชื่อว่าได้พาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่ทรงต้องการจะหลีกเลี่ยง ตอนนี้มีศพและร่องรอย ใครจะรู้ว่าชายคนนั้นไปพูดคุยกับใครบ้าง เฟิร์ธควรจะรอบคอบกว่านี้ในการติดต่อกับชายคนนั้น ร่องรอยอาจจะสาวกลับมาถึงพระองค์ก็เป็นได้

“ข้าขอโทษ” เฟิร์ธบอก เมื่อรีบตามมาเดินด้านข้าง

เจ้าชายกาเร็ธไม่ใส่ใจเขา รีบเร่งฝีเท้า ด้วยยังทรงกริ้ว

“สิ่งที่เจ้าทำไปมันช่างโง่เง่าและอ่อนแอ” เจ้าชายกาเร็ธตรัส “เจ้าไม่น่าจะหันมาทางข้า”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรตอนที่เขาขอเงินเพิ่ม”

เฟิร์ธพูดถูก มันเป็นสถานการณ์ที่ยาก ชายคนนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัวและละโมบ เขาเปลี่ยนข้อตกลง จึงสมควรตายแล้ว เจ้าชายไม่ทรงเสียน้ำตาให้เขาหรอก ทรงหวังเพียงไม่มีใครเห็นการฆาตกรรม สิ่งสุดท้ายที่ทรงต้องการคือร่องรอย คงจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดหากมีข่าวการลอบสังหารพระบิดา ซึ่งเจ้าชายกาเร็ธไม่สามารถยอมให้มีร่องรอยแม้เพียงเล็กน้อยให้สาวมาถึงได้

อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พวกเขาก็มาถึงป่าแบล็ควู้ดแล้ว แม้จะมีดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน แต่ที่นี่เกือบจะมืดสนิท ต้นยูคาลิปตัสสูงตระหง่านบดบังแสงสว่างไว้เกือบหมด มันช่างเข้ากับพระอารมณ์ในขณะนี้ เจ้าชายเกลียดสถานที่นี้ ทรงดำเนินไปตามทางคดเคี้ยว ตามคำบอกของคนตาย ทรงหวังว่าเขาจะบอกถูกและไม่นำให้พวกเขาหลงไปที่อื่น ทั้งหมดอาจจะเป็นคำโกหก หรืออาจจะนำไปสู่กับดัก ที่สหายของชายคนนั้นรอดักปล้นทั้งสองอยู่

เจ้าชายกาเร็ธบ่นตัวเอง ที่ทรงวางใจในตัวเฟิร์ธมากเกินไป พระองค์ควรจะจัดการเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง เช่นที่ทรงเคยทำเสมอ

“เจ้าควรจะหวังให้เส้นทางนี้นำเราไปสู่นางแม่มด” ทรงเยาะหยัน “และขอให้นางมียาพิษ”

ทั้งสองเดินต่อไปตามทางจนไปถึงทางแยก เหมือนที่ชายคนนั้นบอก มันเป็นไปด้วยดีและพระองค์ทรงโล่งใจขึ้นเล็กน้อย พวกเขาไปตามทางด้านขวา ปีนขึ้นเนินไปจนเจอทางแยกอีกครั้ง คำบอกของชายคนนั้นถูกต้อง ตรงหน้าของทั้งสองคือป่าที่มืดทึบที่สุดที่เจ้าชายเคยทอดพระเนตร ต้นไม้เบียดแน่นอย่างไม่น่าเป็นไปไดh

เจ้าชายเสด็จเข้าไปในป่า และทรงรู้สึกเย็นวาบไปตามแนวสันหลังทันที ทรงรู้สึกเหมือนมีความชั่วร้ายล่องลอยอยู่ในอากาศ แทบไม่ทรงเชื่อว่านี่ยังเป็นเวลากลางวัน

ขณะที่เริ่มหวั่นกลัว คิดจะหันหลังกลับ เส้นทางตรงหน้าสิ้นสุดลงบริเวณที่โล่งเล็ก ๆ มีลำแสงส่องลอดแนวต้นไม้ลงมาเพียงลำเดียว ตรงกลางนั่นคือกระท่อมหินหลังเล็ก กระท่อมของแม่มด

เจ้าชายกาเร็ธหทัยเต้นเร็ว ทรงเดินเข้าไปยังที่โล่งนั้น มองสำรวจโดยรอบให้มั่นใจว่าไม่มีใครตามมา และเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่กับดัก

“ท่านเห็นไหม ชายคนนั้นพูดความจริง” เฟิร์ธทูลอย่างตื่นเต้น

“มันไม่มีความหมายอะไรหรอก” ทรงเยาะหยัน “คอยอยู่ข้างนอกนี่ แล้วเฝ้าให้ดี เคาะบอกข้าถ้ามีใครเข้ามา แล้วก็หุบปากด้วย”

เจ้าชายไม่เสียเวลาเคาะประตูไม้บานเล็กตรงหน้า ทรงจับห่วงเหล็กแล้วดันประตูหนาสองนิ้วนี้เข้าไป ต้องทรงก้มขณะที่เข้าไปภายใน แล้วปิดประตูตามหลัง

ภายในกระท่อมนั้นมืด มีเพียงแสงเทียนให้ความสว่าง มันเป็นกระท่อมห้องเดียว ไม่มีหน้าต่าง ห้อมล้อมด้วยพลังงานหนักอึ้ง ทรงยืนอยู่ตรงนั้น อึดอัดกับความเงียบสนิท เตรียมพระองค์สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทรงรู้สึกถึงความชั่วร้ายในกระท่อมนี้ และมันทำให้ทรงขนลุก

เจ้าชายเห็นความเคลื่อนไหวจากเงา แล้วจึงมีเสียง

หญิงแก่ เหี่ยวย่นและหลังค่อมคนหนึ่งเดินโขยกเขยกเข้ามา นางถือเทียนไขมาด้วย ซึ่งแสงจากเทียนส่องใบหน้าที่เต็มไปด้วยหูดและริ้วรอย นางดูเก่าแก่ยิ่งกว่าต้นไม้หงิกงอที่แผ่ปกคลุมกระท่อมของนางเสียอีก

“ท่านคลุมศีรษะทั้งที่อยู่ในความมืด” นางเอ่ย พลางยิ้มน่ากลัว เสียงของนางเหมือนเสียงแตกของไม้ “ภารกิจของท่านไม่บริสุทธิ์”

“ข้ามารับขวดยา” เจ้าชายทรงบอกเร็ว พยายามทำเสียงให้กล้าหาญและมั่นใจ แต่ก็ยังฟังดูสั่น ๆ “ที่ทำจากรากเชลเดรค มีคนบอกข้าว่าท่านมีอยู่”

เกิดความเงียบที่ยาวนาน ตามด้วยเสียงหัวเราะแหลมน่าสะพรึงกลัว ดังสะท้อนในห้องเล็ก ๆ

“ข้ามีหรือไม่ ไม่ใช่คำถาม แต่คำถามคือ ท่านต้องการมันไปทำไม?”

เจ้าชายกาเร็ธพระทัยเต้นขณะพยายามคิดหาคำตอบ

“เจ้าจะสนใจไปทำไม” ทรงถามออกไปในที่สุด

“มันทำให้ข้ารื่นเริงหากได้รู้ว่าท่านกำลังจะฆ่าใคร” นางบอก

“ไม่ใช่ธุระของเจ้า ข้าเอาเงินมาให้ด้วย”

เจ้าชายล้วงหยิบถุงทองออกมา เพิ่มอีกหนึ่งถุงจากที่ได้ให้ชายที่ตายไป แล้วโยนทั้งสองถุงลงบนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ของนาง เสียงเหรียญโลหะกระทบกันดังขึ้น

พระองค์ภาวนาให้มันปิดปากนางได้ และนางจะให้สิ่งที่ทรงต้องการ แล้วจะได้รีบไปจากที่นี่เสียที

นางแม่มดยื่นนิ้วที่มีเล็บยาวออกมาเพียงนิ้วเดียว เกี่ยวถุงเงินหนึ่งถุงขึ้นไปพิจารณา เจ้าชายกาเร็ธทรงกลั้นหายใจ หวังว่านางจะไม่ถามอะไรอีก

“นี่คงเพียงพอแล้วที่จะซื้อความเงียบของข้า” นางบอก

หันหลังแล้วเดินโขยกเขยกหายไปในความมืด มีเสียงฟู่ และตรงข้าง ๆ เทียนไข เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนางกำลังผสมของเหลวใส่ขวดแก้วเล็ก ๆ มีฟองผุดขึ้นมา แล้วนางก็ปิดฝา เวลาดูจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ทรงรอคอย และยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ความกังวลนับล้านวิ่งวุ่นอยู่ในหัว หากทรงถูกจับได้ล่ะ? ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย? ถ้านางให้ยาผิดล่ะ? ถ้านางเล่าให้ใครฟังเรื่องพระองค์ล่ะ? นางจำพระองค์ได้ไหม? เจ้าชายไม่อาจตอบได้

เจ้าชายกาเร็ธยิ่งเพิ่มพูนความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ ทรงไม่เคยรู้ว่าการสังหารใครสักคนมันลำบากถึงเพียงนี้

หลังจากความเงียบอันยาวนาน นางแม่มดก็หันกลับมา นางส่งขวดยาที่เล็กจนแทบจะหายไปในฝ่าพระหัตถ์ให้เจ้าชาย ก่อนจะถอยออกห่าง

“ขวดเล็กแค่นี้น่ะหรือ?” ตรัสถาม “แล้วมันจะได้ผลไหม?”

นางยิ้ม

“ท่านจะต้องประหลาดใจว่าแค่เพียงเล็กน้อยก็สามารถฆ่าคนได้”

เจ้าชายกาเร็ธหันหลังมุ่งหน้าไปยังประตู แต่จู่ ๆ ก็ทรงรู้สึกถึงนิ้วมือเย็นเฉียบบนพระอังสา ทรงไม่รู้เลยว่านางข้ามห้องมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร ทำให้ทรงตื่นตระหนก เจ้าชายประทับยืนตัวแข็งไม่กล้าหันไปมอง

นางหมุนเจ้าชายให้หันไป แล้วเอนเข้ามาใกล้ กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนคลุ้งออกมา ทันใดนั้นนางใช้สองมือจับพระปรางทั้งสองข้างและจุมพิตเจ้าชาย บดริมฝีปากเหี่ยวย่นลงบนพระโอษฐ์อย่างแรง

เจ้าชายกาเร็ธทรงรังเกียจ เป็นสิ่งน่าขยะแขยงที่สุดที่เคยเกิดกับพระองค์ ริมฝีปากนางเหมือนกับปากของสัตว์เลื้อยคลาน ลิ้นของนางที่กดลงมาเหมือนกับลิ้นของงู เจ้าชายพยายามผลักออก แต่นางยึดพระพักตร์ไว้แน่น ดึงเข้าหาแรงขึ้น

ในที่สุดก็ทรงสะบัดหลุด ใช้หลังกรเช็ดพระโอษฐ์ ขณะที่นางถอยหลังกลับแล้วหัวเราะ

“ครั้งแรกที่ท่านฆ่าคนมันจะยากที่สุด” นางกล่าว “แต่ท่านจะพบว่าครั้งต่อไปมันจะง่ายขึ้นมาก”

*

เจ้าชายกาเร็ธผลุนผลันออกจากกระท่อม กลับมายังที่โล่ง พบเฟิร์ธยืนคอยอยู่

“มีเรื่องอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เฟิร์ธทูลถามอย่างกังวล “ทรงทำท่าเหมือนกับถูกแทงมา นางทำร้ายพระองค์หรือเปล่า?”

เจ้าชายทรงหยุด หอบหายใจหนักหน่วง พลางเช็ดปากซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

“ไปจากที่นี่กันเถอะ” เจ้าชายตรัส “เดี๋ยวนี้เลย!”

ขณะที่มุ่งหน้าออกจากที่โล่งไปสู่ป่ามืด จู่ ๆ เมฆก็บดบังดวงอาทิตย์ ทำให้วันที่สวยงามเยียบเย็นและมืดลง เจ้าชายไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้ เมฆดำรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทรงรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ เจ้าชายกาเร็ธทรงกังวลว่าพลังของนางแม่มดจะลึกล้ำสักเพียงใด ขณะที่สายลมหนาวที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนโลมไล้ด้านหลังพระศอ ทรงอดคิดไม่ได้ว่านางแม่มดได้ครอบงำพระองค์ด้วยจุมพิตนั้น หรือร่ายคำสาปบางอย่างใส่พระองค์

“เกิดอะไรขึ้นในนั้น?” เฟิร์ธทูลถาม

“ข้าไม่อยากพูดถึง” กาเร็ธตรัส “ข้าไม่อยากคิดถึงวันนี้อีกตลอดไป”

ทั้งสองรีบเดินกลับมาตามทาง และเดินลงเนินมา ในไม่ช้าก็กลับไปยังเส้นทางหลักในป่าที่มุ่งหน้าไปยังปราสาท ตอนนั้นเองที่เจ้าชายทรงผ่อนคลายขึ้น เตรียมจะเก็บเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไว้ในส่วนลึกของสมองจู่ ๆ เจ้าชายทรงได้ยินเสียงรองเท้าบู้ทหลายคู่ เมื่อหันไปก็พบชายกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา เจ้าชายกาเร็ธแทบไม่อยากจะเชื่อ

เจ้าชายก็อดฟรีย์ อนุชาของพระองค์ เจ้าขี้เมา กำลังเดินมาทางนั้นพลางหัวเราะ แวดล้อมด้วย แฮรี่ เพื่อนเสเพล กับตัวปัญหาอีกสองคน ทำไมถึงต้องมาเจอพวกนี้ที่นี่ และในเวลานี้ด้วย ในป่าห่างไกลขนาดนี้

แท้ ๆ เจ้าชายกาเร็ธรู้สึกเหมือนแผนการของพระองค์ถูกสาป

เจ้าชายหันหนี ดึงผ้าขึ้นคลุมพระเศียร แล้วรีบเดินเร็วขึ้นเป็นสองเท่า ภาวนาไม่ให้ถูกพบ

“กาเร็ธ?” มีเสียงเรียกดังขึ้น

เจ้าชายไม่มีทางเลือก ทรงหยุดเดิน ดึงผ้าคลุมลง และหันไปมองน้องชายที่เดินอย่างรื่นเริงเข้ามาหา

“ท่านมาทำอะไรที่นี่” เจ้าชายก็อดฟรีย์ถาม

เจ้าชายกาเร็ธอ้าปาก แล้วหุบลง กระสับกระส่ายอย่างจนคำพูด

“เรากำลังไปเดินป่า” เฟิร์ธอาสาช่วยพระองค์ไว้

“เดินป่า เจ้าเนี่ยนะ?” เพื่อนคนหนึ่งของก็อดฟรีย์ล้อเลียนเฟิร์ธ ทำเสียงสูงแบบผู้หญิง เพื่อน ๆ เขาพากันหัวเราะ เจ้าชายกาเร็ธรู้ว่าน้องชายและเพื่อน ๆ ของเขา ตัดสินพระองค์เรื่องความเบี่ยงเบน แต่ตอนนี้ไม่ได้ทรงใส่ใจเลย ต้องการเพียงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา พระองค์ไม่อยากให้พวกเขาสงสัยว่าทรงมาทำอะไรที่นี่

“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” เจ้าชายกาเร็ธถามกลับ

“มีร้านเหล้าเปิดใหม่ที่เซาธ์วู้ด” เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสบอก “พวกเราเพิ่งไปลองมา มีเหล้าเอลที่ดีที่สุดในอาณาจักรเลย” อยากลองไหม?” ทรงถาม พร้อมกับยื่นถังเหล้าให้

เจ้าชายกาเร็ธสั่นพระพักตร์เร็ว ๆ ทรงรู้ว่าต้องทำให้อนุชาไขว้เขว ทางที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนเรื่องสนทนา เป็นการบ่นว่าเขา

“พระบิดาจะทรงกริ้วหากทรงรู้ว่าเจ้าดื่มเหล้าแต่หัววัน” เจ้าชายกาเร็ธตรัส “ข้าว่าเจ้าน่าจะวางถังเหล้าลง แล้วกลับไปที่ปราสาท”

มันได้ผล เจ้าชายก็อดฟรีย์ไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องเจ้าชายกาเร็ธอีก แต่คิดถึงพระบิดาและตัวเองแทน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ท่านสนใจความต้องการของพระบิดา?” เขาตะคอก

เจ้าชายกาเร็ธฟังพอแล้ว พระองค์ไม่อยากเสียเวลากับคนขี้เมา ทรงทำสำเร็จที่สามารถเบี่ยงเบนความคิดของน้องชายได้ และตอนนี้ทรงหวังว่าเขาจะไม่ใส่ใจมากนักเรื่องที่เดินมาเจอกันที่นี่

เจ้าชายทรงหันหลังแล้วเร่งเดินไปตามทาง ได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนดังอยู่ด้านหลัง พระองค์ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ในไม่ช้าพระองค์จะเป็นคนที่หัวเราะทีหลัง

บทที่ 14

ธอร์นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ ง่วนอยู่กับคันธนูและลูกศรที่วางเป็นชิ้น ๆ อยู่ตรงหน้า เจ้าชายรีสประทับอยู่ข้างเขา พร้อมกับอีกหลายคนจากกองทหารยุวชน พวกเขากำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับอาวุธ คร่ำเคร่งเหลาคันธนู และผูกสาย

“นักรบต้องรู้วิธีมัดสายธนูของตัวเอง” คอล์คตะโกน ขณะที่เดินไปตามแถวเด็กหนุ่ม ก้มลง ตรวจดูผลงานของแต่ละคน “ความตึงจะต้องพอดี หากหย่อนไปลูกศรก็จะไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่หากตึงไป ก็จะเล็งได้ไม่ตรง หากอาวุธเสียหายจากการสู้รบและจากการเดินทาง พวกเจ้าต้องรู้วิธีซ่อมแซม นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังต้องเป็นช่างตีเหล็ก ช่างไม้ ช่างซ่อมรองเท้า และช่างซ่อมแซมทุกสิ่งที่เสียหาย พวกเจ้าจะไม่รู้จักอาวุธของตัวเองอย่างแท้จริง จนกว่าจะได้ซ่อมมันด้วยตัวเอง”

 

คอล์คหยุดที่ด้านหลังธอร์ โน้มอยู่เหนือไหล่เขา ก่อนจะดึงคันธนูไปจากมือธอร์ สายธนูดีดมือธอร์ ตอนที่เขาดึงมันไป

“สายยังตึงไม่พอ” เขาตำหนิ “มันเบี้ยวด้วย ใช้อาวุธแบบนี้ในสนามรบ เจ้าต้องตายแน่ ๆ แล้วคู่หูก็จะพลอยตายไปด้วย”

คอล์คขว้างคันธนูคืนลงบนโต๊ะ แล้วเดินต่อไป เด็กหนุ่มคนอื่นหัวเราะ ธอร์หน้าแดงแล้วหยิบสายธนูขึ้นมาอีกครั้ง ดึงให้ตึงเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วพันมันเข้าตรงรอยบากที่คันธนู เขาพยายามทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานใช้แรงงานและต้อยต่ำ

คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ได้ฝึกฝน ฝึกต่อสู้และฟันดาบ ธอร์มองไป เห็นพี่ชายสามคนอยู่ไกล ๆ พวกเขากำลังหัวเราะขณะที่ฟันดาบไม้เหมือนเช่นเคย ธอร์รู้สึกเหมือนพวกเขามีฝีมือเหนือกว่า ขณะที่เขาถูกทิ้งให้อยู่ใต้เงาของพวกนั้น มันไม่ยุติธรรมเลย เขารู้สึกมากยิ่งขึ้นว่าไม่เป็นที่ต้องการที่นี่ ราวกับเขาไม่ได้เป็นสมาชิกที่แท้จริงของกองทหารยุวชน

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวเจ้าก็ชินไปเอง” โอคอนเนอร์บอกอยู่ข้าง ๆ

ฝ่ามือของธอร์ถลอกจากการพยายาม เขาดึงสายธนูอีกครั้ง ครั้งนี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แล้วในที่สุดมันก็เข้าที่อย่างน่าประหลาดใจ สายธนูรัดอยู่ในรอยบากอย่างเรียบร้อยพอดิบพอดี ธอร์ลองดึงสุดแรง จนเหงื่อตก เขารู้สึกพอใจอย่างมากที่คันธนูของเขาแข็งแรงอย่างที่มันควรจะเป็น

เงาทอดยาวออกไปเรื่อย ๆ ขณะที่ธอร์ใช้หลังมือเช็ดหน้าผาก และสงสัยว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร เขาใคร่ครวญถึงความหมายของการเป็นนักรบ แต่ในหัวของเขา เห็นสิ่งที่แตกต่างไป เขาคิดถึงแต่การฝึกฝนตลอดเวลา แต่เขาก็คิดว่านี่คงเป็นการฝึกฝนอีกรูปแบบ

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสมัครมาทำเหมือนกัน” โอคอนเนอร์บอก ราวกับอ่านใจเขาได้

ธอร์หันไป มั่นใจว่าจะได้เห็นรอยยิ้มจริงใจของเพื่อน

“ข้ามาจากจังหวัดทางเหนือ” เขาบอกต่อ “ข้าเองก็ฝันถึงการเข้าร่วมกองทหารยุวชนมาตลอดชีวิต ข้าเดาว่าข้าฝันถึงการจับคู่ซ้อมและการต่อสู้ ไม่ใช่งานรับใช้พวกนี้ แต่มันจะต้องดีขึ้น เป็นเพราะพวกเรายังใหม่ มันเป็นรูปแบบของการเริ่มต้น ดูเหมือนจะมีลำดับขั้นตอนที่นี่ พวกเรายังเด็กที่สุดด้วย ข้าไม่เห็นพวกอายุสิบเก้าปีทำเรื่องพวกนี้ มันคงไม่เป็นเช่นนี้ไปตลอดหรอก นอกจากนี้ มันก็เป็นทักษะที่มีประโยชน์ควรรู้ไว้”

เสียงแตรดังขึ้น ธอร์มองออกไป เห็นคนอื่นรวมตัวกันอยู่ข้างกำแพงหินใหญ่ตรงกลางสนาม มีเชือกหลายเส้นพาดอยู่ เว้นระยะห่างกันทุกสิบฟุต กำแพงน่าจะสูงสามสิบฟุต ด้านล่างมีกองฟองกองอยู่

“พวกเจ้ารออะไรกันอยู่?” คอล์คตะโกน “มานี่!”

ทหารกองรบเงินปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบพวกเขา ส่งเสียงตะโกน และก่อนที่ธอร์จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขากับคนอื่น ๆ ก็กระโดดลุกจากม้านั่ง วิ่งข้ามสนามไปยังกำแพง

ในไม่ช้าพวกเขาก็รวมตัวกันอยู่ที่นั่น ยืนอยู่ตรงหน้าเชือก มีเสียงพึมพำด้วยความตื่นเต้น เมื่อสมาชิกทุกคนมารวมตัวกัน ธอร์รู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ในที่สุดก็ได้ฝึกร่วมกับคนอื่น ๆ ธอร์พบว่าตัวเองหันไปหาเจ้าชายรีส ที่ยืนอยู่กับเพื่อนอีกคน โดยมีโอคอนเนอร์มาร่วมด้วย

“พวกเจ้าจะพบว่าในการสู้รบ เมืองส่วนใหญ่จะสร้างป้อมปราการ” คอล์คตะโกน มองหน้าเด็กหนุ่มแต่ละคน “การทะลายป้อมเป็นหน้าที่ของทหาร ในการบุกยึดโดยทั่วไปจะใช้เชือกและตะขอ เหมือนกับที่เราโยนขึ้นไปบนกำแพงนี้ และการปีนขึ้นไปบนกำแพง เป็นงานอันตรายที่สุดที่พวกเจ้าจะพบในสนามรบ ในบางกรณี พวกเจ้าจะไม่มีที่กำบัง และถูกโจมตีได้ง่าย ศัตรูอาจจะเทตะกั่วหลอมลงมาใส่ ยิงลูกธนูลงมา หรือขว้างก้อนหินใส่ เจ้าจะไม่ปีนขึ้นไปบนกำแพงจนกว่าจะถึงจังหวะเหมาะ และเมื่อปีนขึ้นไป เจ้าจะต้องปีนเพื่อชีวิตของเจ้า ไม่ก็เสี่ยงกับความตาย”

คอล์คสูดหายใจเข้า ก่อนจะตะโกนออกมา “เริ่มได้!”

รอบ ๆ ตัวเขา เด็กหนุ่มต่างกรูกันเข้าไป แย่งชิงเชือกกัน ธอร์วิ่งเข้าไปหาเชือกเส้นหนึ่ง และเกือบจะคว้าไว้ได้ ตอนที่เด็กที่โตกว่าเอื้อมไปถึงก่อนแล้วกระแทกเขาออกมาให้พ้นทาง ธอร์ตะเกียกตะกายและคว้าเชือกที่อยู่ใกล้มือที่สุดไว้ได้ เชือกเส้นหนา มัดไว้เป็นปม ธอร์ใจเต้นแรงเมื่อเริ่มปีนขึ้นไปบนกำแพง

วันนี้มีหมอกลง และเท้าของธอร์เหยียบลื่นไปบนกำแพงหิน แต่เขาก็ยังทำเวลาได้ดี ขณะที่อดสังเกตไม่ได้ว่าเขาไปได้เร็วกว่าคนอื่นอีกหลายคน และเกือบจะได้ขึ้นนำขณะที่ตะกายปีนขึ้นไป เป็นครั้งแรกของวันที่เขาเริ่มจะรู้สึกดี เริ่มรู้สึกภาคภูมิ

ทันใดนั้นเอง มีของหนักหล่นลงมาโดนไหล่เขา ธอร์เงยหน้ามอง และเห็นทหารกองรบเงินอยู่บนกำแพง กำลังขว้างหินก้อนเล็ก ๆ กิ่งไม้ และเศษซากอื่น ๆ ลงมา เด็กหนุ่มที่ปีนอยู่ข้างธอร์ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังหน้า ทำให้เชือกหลุดจากมือและหล่นลงไปที่พื้น เขาตกจากความสูงยี่สิบฟุต ลงไปนอนอยู่บนกองฟางด้านล่าง

ธอร์ก็ทำเชือกหลุดมือเหมือนกัน แต่ยังคว้าไว้ได้ ท่อนไม้หล่นลงมากระแทกหลังเขา แต่เขาก็ยังปีนต่อไป เขาทำเวลาได้ดีและเริ่มคิดว่าอาจจะเป็นคนแรกที่ขึ้นไปถึงด้านบน แต่แล้วก็รู้สึกว่าโดนเตะแรงที่ซี่โครง เขาไม่รู้ว่ามาจากไหน จนหันไปมองและเห็นเด็กคนหนึ่งด้านข้างเขา เหวี่ยงตัวมาด้านข้าง และก่อนที่ธอร์จะทันทำอะไร เด็กคนนั้นก็เตะเขาอีก

คราวนี้ธอร์ทำเชือกหลุดมือและหงายหลัง ร่วงผ่านอากาศลงไป โดยทำอะไรไม่ได้ เขาหล่นลงไปนอนหงายหลังอยู่บนกองฟางด้านล่าง ตกใจแต่ก็ไม่บาดเจ็บ

ธอร์ตะเกียกตะกายลุกขึ้นคลานสี่ขา หอบหายใจ เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวเขา ก็เห็นเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ พากันร่วงจากเชือกเหมือนแมลงวัน หล่นลงมานอนบนกองฟาง เพราะถูกเตะหรือผลักกันเอง ไม่เช่นนั้นก็โดนทหารกองรบเงินด้านบนเตะเอา คนที่ไม่โดนเตะ ก็โดนตัดเชือก จึงร่วงลงมาเหมือนกัน ไม่มีใครขึ้นไปถึงด้านบนสักคนเดียว

“ยืนขึ้น!” คอล์คตะโกน ธอร์กระโดดลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

“ดาบ!”

ทุกคนกรูกันไปที่ราวดาบไม้ขนาดใหญ่ ธอร์ตามไปด้วย แล้วหยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง เขาต้องตกใจกับน้ำหนักของมัน มันหนักเป็นสองเท่าของอาวุธอื่น ๆ ที่เขาเคยยก เขาแทบจะถือไม่ไหว

“ดาบหนัก เริ่มได้!” มีเสียงตะโกน

ธอร์เงยหน้าขึ้นเห็นเจ้ายักษ์เอลเด็น คนที่สู้กับเขาตอนมาถึงกองทหารยุวชน ธอร์จำเขาได้ดี เพราะยังเจ็บจากรอยฟกช้ำบนใบหน้าที่เอลเด็นเป็นคนมอบให้ เขายืนค้ำธอร์ ยกดาบขึ้นสูง ใบหน้าดูโกรธเกรี้ยว

ธอร์ยกดาบขึ้นรับได้ทันและสามารถหยุดการฟันของเอลเด็นได้ แต่ดาบไม้มันหนักมากจนเขาแทบยกไม่ขึ้น เอลเด็นซึ่งตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า หมุนตัวมาและเตะธอร์เข้าที่ซี่โครงอย่างแรง

ธอร์ทรุดลงไปคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด เอลเด็นเหวี่ยงดาบอีกครั้งหวังจะฟาดให้โดนหน้า แต่ธอร์ก็สามารถยกดาบขึ้นกันไว้ได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามเอลเด็นรวดเร็วและแข็งแรงเกินไป เขาเหวี่ยงดาบมา ฟันโดนธอร์เข้าที่ขา หวดเขาลงไปนอนตะแคงบนพื้น

เด็กหนุ่มกลุ่มเล็ก ๆ ล้อมวงอยู่รอบพวกเขา ส่งเสียงให้กำลังใจและร้องตะโกน เมื่อการต่อสู้ของทั้งคู่กลายเป็นเป้าความสนใจ มันเหมือนกับทุกคนถือหางข้างเอลเด็น

เอลเด็นเหวี่ยงดาบลงมาอีกครั้ง ฟาดมาอย่างแรง แต่ธอร์กลิ้งหลบไปพ้นทาง แรงเหวี่ยงเกือบจะโดนหลังเขา ธอร์เห็นโอกาสและคว้ามันไว้ เขาเหวี่ยงดาบไปและฟาดโดนที่ข้อพับซึ่งเป็นจุดอ่อน นั่นมากพอที่จะล้มเขาลงไปนอนหงายท้องได้

ธอร์ใช้จังหวะนั้นตะกายลุกขึ้นยืน เอลเด็นก็ลุกขึ้น หน้าแดงด้วยความโกรธยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเผชิญหน้ากัน

ธอร์รู้ว่าเขาจะยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เขาพุ่งเข้าไปและเหวี่ยงดาบ แต่ดาบฝึกนี้ทำจากไม้ประหลาดและหนักมากเกินไป การเคลื่อนไหวของเขาคาดเดาได้ และเอลเด็นก็กันไว้ได้โดยง่าย แล้วต่อยซี่โครงเขาอย่างแรง

มันโดนจุดอ่อน ธอร์ถึงกับทรุดลงไป ปล่อยดาบหลุดจากมือ หายใจไม่ออก

เด็กคนอื่นโห่ร้องยินดี ธอร์คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่มีอาวุธ เขารู้สึกว่าปลายดาบของเอลเด็นจ่อเข้าที่คอหอย

“ยอมแพ้เสีย!” เอลเด็นสั่ง

ธอร์เหลือบตาขึ้นมอง รู้สึกถึงรสเฝื่อนของเลือดที่ริมฝีปาก

“ไม่มีทาง” เขาบอกอย่างแข็งขืน

เอลเด็นไม่พอใจ เขายกดาบขึ้นเตรียมจะเหวี่ยงมันลงมา ธอร์ไม่มีทางทำอะไรได้ เขากำลังจะโดนฟาดอย่างแรง

ขณะที่ดาบกำลังลงมานั้น ธอร์หลับตาลงและตั้งสมาธิ เขารู้สึกว่าโลกหมุนช้าลง รู้สึกว่าตัวเองหลุดไปอยู่อีกอาณาจักร จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของดาบในอากาศและการเคลื่อนไหวของมัน และเขาปรารถนาให้จักรวาลหยุดมัน

เขารู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้น และซาบซ่าน ขณะที่ตั้งสมาธิ เขารู้สึกว่าบางอย่างได้เกิดขึ้น รู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้

ทันใดนั้นดาบก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศ ธอร์หยุดมันโดยใช้พลังของเขา

เอลเด็นที่ถือดาบอยู่ รู้สึกสับสน ธอร์ใช้อำนาจจิตของเขาจับและบีบข้อมือของเอลเด็น เขาบีบแรงขึ้น ๆ ในใจ และในขณะนั้นเอลเด็นก็ร้องออกมา ทิ้งดาบหลุดจากมือ

คนอื่น ๆ เงียบกริบ ยื่นนิ่งแข็งทื่อ มองไปที่ธอร์ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและกลัว

“เขาเป็นปิศาจ” คนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น

“พ่อมด!” อีกคนตะโกนขึ้น

ธอร์ชนะ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เพิ่งทำลงไป แต่เขารู้ว่ามันไม่ธรรมดา เขาทั้งภูมิใจและอับอาย ทั้งกล้าหาญและทั้งกลัว

คอล์คก้าวเข้ามาในวง ยืนอยู่ระหว่างธอร์และเอลเด็น

“ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับใช้เวทมนต์ เจ้าหนู” เขาตำหนิธอร์ “เป็นที่สำหรับการต่อสู้ เจ้าฝ่าฝืนกฎแห่งการต่อสู้ของเรา เจ้าต้องคิดถึงสิ่งที่ทำลงไป ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ ๆ มีอันตรายจริง ๆ แล้วเรามาดูกันว่าเวทมนต์จะช่วยเจ้าได้ไหมที่นั่น จงไปรายงานตัวกับพลลาดตระเวนที่หุบเขา”

ทุกคนในกองทหารยุวชนตกใจ และเงียบกริบ ธอร์ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่เขารู้ว่าท่าทางจะไม่ค่อยดี

“ท่านส่งเขาไปที่หุบเขาไม่ได้!” เจ้าชายรีสประท้วง “เขายังใหม่เกินไป เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ”

“ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าเลือก เจ้าหนู” คอล์คหน้าบึ้งใส่เจ้าชายน้อย “พระบิดาของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่คอยปกป้องพระองค์ หรือปกป้องเขา และข้าเป็นผู้ดูแลกองทหารยุวชน ทางที่ดีพระองค์น่าจะสงบปากไว้ การที่ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ได้หมายความว่าจะพูดจาล้ำเส้นได้อีก”

“ดี” เจ้าชายน้อยตรัส “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับเขา!”

“ข้าด้วย” โอคอนเนอร์แทรกขึ้นมา แล้วก้าวมาข้างหน้า

คอล์คมองดูพวกเขา แล้วส่ายหน้าช้า ๆ

“พวกโง่ มันเป็นการตัดสินใจของพวกเจ้า อยากจะไปกับเขาก็ตามใจ”

คอล์คหันไปมองเอลเด็น “อย่าคิดว่าเจ้าจะรอดตัวไปได้ง่าย ๆ“ เขาบอก “เจ้าเป็นคนเริ่มการต่อสู้ เจ้าต้องชดใช้ด้วย เจ้าจะต้องไปลาดตระเวนกับพวกเขาคืนนี้”

“แต่ใต้เท้า ท่านส่งข้าไปที่นั่นไม่ได้!” เอลเด็นค้าน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว เป็นครั้งแรกที่ธอร์เห็นเขากลัวอะไร

คอล์คเดินต่อ เข้าไปใกล้เอลเด็น ยกมือขึ้นเท้าสะโพก “ข้าทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” เขาบอก “ไม่เพียงแต่ข้าจะส่งเจ้าไปที่นั่น แต่ข้ายังสามารถส่งเจ้าไปจากที่นี่ได้ตลอดกาล ไปจากกองทหารยุวชน รวมถึงไปยังที่ที่ไกลจากอาณาจักรของเรามากที่สุด ถ้าเจ้ายังขืนต่อปากต่อคำกับข้า”

เอลเด็นมองไปทางอื่น กังวลเกินกว่าจะพูดอะไร

“มีใครอยากจะไปกับพวกเขาอีกไหม?” คอล์คตะโกนถาม

เด็กหนุ่มคนอื่น ๆ ที่ตัวใหญ่กว่า แก่กว่าและแข็งแรงกว่าเขา ต่างหลบตาด้วยความกลัว ธอร์กลืนน้ำลายขณะที่มองดูใบหน้ากังวลที่อยู่รอบ ๆ และสงสัยว่าที่หุบเขาจะเลวร้ายสักขนาดไหนกัน

บทที่ 15

ธอร์เดินไปตามถนนดินที่ผ่านการเหยียบย่ำมานาน ขนาบด้วยเจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ และเอลเด็น พวกเขาทั้งสี่คนแทบจะไม่ได้พูดกันเลยนับตั้งแต่ออกมา ต่างยังคงตกใจ ธอร์มองไปที่เจ้าชายรีสและโอคอนเนอร์ ด้วยความซาบซึ้งอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เขาไม่อยากเชื่อว่าทั้งสองจะพาตัวเองมาลำบากกับเขาด้วยเช่นนี้ ธอร์คิดว่าเขาได้พบเพื่อนแท้ ที่เป็นเหมือนพี่น้อง เขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ที่หุบเขา แต่ไม่ว่าจะพบอะไร เขาก็ดีใจที่มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง

ธอร์พยายามไม่หันไปมองเอลเด็น อาจจะเห็นเขาเตะก้อนหิน กระฟัดกระเฟียดด้วยความโกรธ อาจจะเห็นเขาหงุดหงิดรำคาญใจที่ต้องมาอยู่ที่นี่ มาเดินลาดตระเวนกับพวกเขา แต่ธอร์ก็ไม่มีความเห็นใจให้ ตอนที่คอล์คบอกว่า เอลเด็นเป็นคนเริ่มต้นทุกอย่างนั้น มันสมควรแล้วที่เขาโดนแบบนี้

พวกเขาทั้งสี่ เป็นกลุ่มคนธรรมดาที่กำลังเดินไปตามทาง ตามทิศทาง ทั้งหมดเดินมานานหลายชั่วโมง จนบ่ายมากแล้ว ขาของธอร์เริ่มอ่อนแรงและเขายังหิวอีกด้วย เขาได้รับประทานเพียงข้าวบาร์เลย์ตุ๋นชามเล็ก ๆ เป็นอาหารกลางวัน และหวังว่าอาจจะมีอาหารรออยู่ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่เขากำลังมุ่งหน้าไป

แต่ธอร์ก็มีเรื่องต้องกังวลมากกว่านั้น เขาก้มลงมองชุดเกราะใหม่ และรู้ว่าพวกนั้นคงจะไม่มอบชุดนี้ให้หากไม่มีสาเหตุสำคัญ ก่อนจะถูกส่งออกมา ทั้งสี่ได้รับชุดเกราะสำหรับเด็กติดตามชุดใหม่ เป็นชุดหนังแต่งด้วยเกราะห่วงโซ่ ได้รับดาบสั้นที่ทำจากโลหะเนื้อหยาบ เพราะโลหะเนื้อดีจะถูกตีเป็นดาบของอัศวิน แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เขารู้สึกดีที่มีอาวุธจริง ๆ อยู่ข้างเอว นอกจากนั้นเขายังมีหนังสติ๊กที่ยังพกติดตัว ธอร์รู้ว่าหากคืนนี้ต้องเผชิญกับปัญหาจริง ๆ แล้ว อาวุธและเกราะพวกนี้อาจจะไม่เพียงพอ เขาอยากได้อาวุธและเกราะชั้นดีที่เพื่อนคนอื่น ๆ ในกองทหารยุวชนใช้ ดาบกลางและยาวที่ทำจากเหล็กเนื้อดี หอกสั้น กระบอง มีดสั้น หรือง้าว แต่ของพวกนี้จะเป็นของเด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงหรือเกียรติยศ มาจากครอบครัวที่โด่งดัง ที่สามารถจ่ายเงินซื้อของพวกนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่ธอร์ บุตรชายคนเลี้ยงแกะธรรมดา

ขณะที่เดินไปตามทางที่เหมือนไม่จบสิ้นสู่อาทิตย์ดวงที่สอง ห่างไกลจากประตูที่เปิดต้อนรับที่ปราสาทของพระราชา มุ่งหน้าไปสู่หุบเขาที่ห่างไกล ธอร์อดรู้สึกไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขา ด้วยเหตุผลบางอย่าง สมาชิกบางคนในกองทหารยุวชนไม่ชอบเขา เหมือนพวกเขาขุ่นเคืองที่มีธอร์อยู่ ซึ่งไม่มีเหตุผลเอาเลย และทำให้เขาหดหู่ ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการได้เข้าร่วม ตอนนี้ เขากลับรู้สึกเหมือนเขาได้เข้าไปเพราะการโกง นี่เขาจะได้รับการยอมรับจริง ๆ จากเพื่อนคนอื่นหรือไม่?

ตอนนี้เหนือสิ่งอื่นใด เขาถูกเลือกให้เดินออกมาทำหน้าที่ที่หุบเขา มันไม่ยุติธรรมเลย เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นการต่อสู้ และเมื่อเขาใช้พลัง ไม่ว่ามันจะคืออะไร มันก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ เขายังไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาใช้มันได้อย่างไร หรือจะปิดมันได้อย่างไร เขาไม่ควรจะถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้

ธอร์ไม่รู้เลยว่าหน้าที่ที่หุบเขาคืออะไร แต่จากสีหน้าของทุกคน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนา เขาสงสัยว่าเขาจะถูกส่งออกมาเพื่อถูกฆ่าหรือไม่ หรือว่านี่จะเป็นวิธีที่พวกนั้นบังคับให้เขาออกจากกองยุวชน แต่เขาตั้งใจที่จะไม่ยอมแพ้

“หุบเขาอยู่อีกไกลแค่ไหน?” โอคอนเนอร์ถามขึ้น ทำลายความเงียบ

“ไม่ไกลพอหรอก” เอลเด็นตอบ “เราคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะธอร์”

 

“เจ้าเป็นคนเริ่มการต่อสู้นะ จำได้หรือเปล่า?” เจ้าชายรีสทรงขัดขึ้น

“แต่ข้าสู้อย่างใสสะอาด แต่เขาไม่” เอลเด็นประท้วง “นอกจากนี้เขาสมควรโดนแล้ว”

“ทำไม?” ธอร์ถามขึ้น อยากรู้คำตอบที่แผดเผาอยู่ภายในมานาน “ทำไมข้าถึงสมควรโดน?”

“เพราะเจ้าไม่เหมาะกับที่นี่ กับพวกเรา เจ้าขโมยที่ในกองยุวชน คนอื่น ๆ ล้วนถูกเลือกมา แต่เจ้าใช้กำลังบุกเข้ามา”

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่กองยุวชนเป็นหรอกหรือ? การต่อสู้?” เจ้าชายรีสตรัสถาม “ข้าคงจะเถียงว่าธอร์สมควรได้อยู่มากกว่าพวกเราคนใด เราแค่ถูกเลือก แต่เขาต้องดิ้นรนและฝ่าฟันเพื่อให้ได้มา”

เอลเด็นยักไหล่ ไม่ประทับใจ

“กฎก็คือกฎ เขาไม่ได้ถูกเลือก เขาไม่ควรจะอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าสู้กับเขา”

“แต่เจ้าทำให้ข้าจากไปไม่ได้หรอก” ธอร์ตอบ เสียงสั่น ตั้งใจว่าจะต้องได้รับการยอมรับ

“เรามาคอยดูกัน” เอลเด็นพึมพำเสียงเข้ม

“นั่นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” โอคอนเนอร์ถาม

เอลเด็นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินต่อไปเงียบ ๆ กระเพาะของธอร์บิดเขม็ง เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าได้สร้างศัตรูไว้เยอะเกินไป แม้เขาจะไม่เข้าใจสาเหตุเลยก็ตาม เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้

“อย่าไปสนใจเขาเลย” เจ้าชายน้อยตรัส เสียงดังพอให้คนอื่นได้ยิน “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาส่งเจ้ามาทำหน้าที่ที่หุบเขา เพราะพวกเขาอยากเห็นศักยภาพของเจ้า พวกนั้นต้องการให้เจ้าแกร่งขึ้น ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เสียเวลาหรอก เจ้าอยู่ในสายตาของพวกเขา เพราะพระบิดาของข้าทรงเลือกเจ้า เท่านั้นแหละ”

“แต่หน้าที่ที่หุบเขาคืออะไร?” เขาทูลถาม

เจ้าชายรีสกระแอม ดูกังวล

“ข้าไม่เคยมาเอง แต่ได้ยินเรื่องเล่า จากเด็กที่โตกว่าบ้าง จากพี่ชายของข้าบ้าง มันเป็นการลาดตระเวน แต่ที่อีกด้านของหุบเขา”

“อีกด้านหรือ?” โอคอนเนอร์ถาม มีความหวาดกลัวในน้ำเสียง

“ท่านหมายความว่าอย่างไร ‘อีกด้าน’? ธอร์ถามขึ้น อย่างไม่เข้าใจ

เจ้าชายรีสมองดูเขา

“เจ้าไม่เคยไปที่หุบเขาหรือ?”

ธอร์รู้สึกว่าทุกคนมองมาที่เขา เขาพยักหน้าอย่างประหม่า

“เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า?” เอลเด็นถามเสียงดัง

“จริงหรือ?” โอคอนเนอร์ย้ำ “ไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตหรือ?”

ธอร์พยักหน้า หน้าแดง “บิดาไม่เคยพาเราไปไหน ข้าเคยแต่ได้ยิน”

“เจ้าคงไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลยสิ เจ้าหนู” เอลเด็นถาม “ใช่ไหม?”

ธอร์ยักไหล่ ไม่ตอบอะไร มันเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือ?

“เขาไม่เคย” เอลเด็นพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่น่าเชื่อ”

“หุบปากน่า” เจ้าชายตรัส “อย่าไปยุ่งกับเขา นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าดีไปกว่าเขาหรอก”

เอลเด็นยิ้มหยันไปที่เจ้าชาย ยกมือขึ้นแตะฝักดาบของเขา แต่แล้วก็ปล่อยลง เห็นได้ชัดว่า แม้จะตัวใหญ่กว่า แต่เขาก็ไม่อยากจะทำให้เจ้าชายโกรธ

“หุบเขาเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยปกป้องอาณาจักรวงแหวนให้ปลอดภัย” เจ้าชายรีสอธิบาย “ไม่มีอย่างอื่นขวางกั้นระหว่างเรากับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ของโลก ถ้าพวกคนเถื่อนจากแดนเถื่อนฝ่าข้ามมาได้ เราทั้งหมดก็คงจะถูกจัดการ ทั้งอาณาจักรวงแหวนฝากความหวังไว้ที่เรา ที่ทหารของพระราชา ที่จะปกป้องพวกเขา เรามีพลลาดตระเวนตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งนี้ แต่บางโอกาสก็ไปที่อีกด้าน มีสะพานอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เป็นทางเข้าออกแห่งเดียวด้วย จะมีทหารที่เก่งที่สุดของกองรบเงินเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดเวลา”

ธอร์ได้ยินเกี่ยวกับหุบเขามาตลอดชีวิต เคยได้ฟังเรื่องราวน่ากลัวเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายที่หลบซ่อนอยู่อีกด้าน เล่าถึงดินแดนแห่งความชั่วร้ายที่โอบล้อมวงแหวนไว้ และพวกเราอยู่ใกล้ความน่ากลัวเพียงใด นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาต้องการเข้าร่วมในกองยุวชน เพื่อช่วยปกป้องครอบครัวและอาณาจักร เขาไม่ชอบความคิดที่ว่ามีคนอื่น ๆ อยู่ข้างนอกนั่นคอยปกป้องพวกเขา ขณะที่เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายในอาณาจักร เขาอยากจะทำหน้าที่และช่วยต่อสู้ขับไล่พวกชั่วร้าย เขานึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครกล้าหาญไปกว่าทหารที่เฝ้าอยู่ที่ทางผ่านหุบเขา

“หุบเขากว้างหนึ่งไมล์ โอบล้อมทั้งอาณาจักรวงแหวน” เจ้าชายอธิบาย “มันไม่ง่ายหรอกที่จะฝ่าเข้ามา แต่ไม่ใช่แค่ทหารของเราหรอกที่หยุดพวกป่าเถื่อนไม่ให้ข้ามมา มีสิ่งมีชีวิตอีกนับล้านข้างนอกนั่น และถ้าพวกมันอยากจะยึดหุบเขาด้วยกำลังพลมหาศาล ก็สามารถทำได้ทันที ทหารของเราเพียงแต่ช่วยสนับสนุนเกราะพลังงานที่หุบเขา พลังที่แท้จริงที่หยุดพวกมันไว้คือพลังจากดาบ”

ธอร์หันมา “ดาบหรือ?”

เจ้าชายรีสทอดเนตรมองเขา

“ดาบแห่งโชคชะตา เจ้ารู้เรื่องตำนานใช่ไหม?”

“เจ้าบ้านนอกนี่คงจะไม่เคยได้ยินหรอก” เอลเด็นแทรกขึ้น

“ข้ารู้แน่นอน” ธอร์โต้กลับอย่างเอาเรื่อง เขาไม่เพียงแต่รู้ แต่ยังใช้เวลาหลายวันในชีวิตหมกมุ่นอยู่กับตำนานนี้มาตลอดชีวิต เขาอยากจะเห็นมันมาตลอด ดาบแห่งโชคชะตาในตำนาน ดาบวิเศษที่มีพลังปกป้องอาณาจักรวงแหวน ปกคลุมหุบเขาไว้ด้วยอำนาจพิเศษที่ช่วยคุ้มครองอาณาจักรวงแหวนจากผู้รุกราน

“ดาบอยู่ที่ปราสาทของพระราชาใช่ไหม?” ธอร์ทูลถาม

เจ้าชายรีสผงกเศียรรับ

“มันอยู่กับราชวงศ์มาหลายรัชสมัยแล้ว หากไม่มีมัน อาณาจักรก็คงไม่เหลืออะไร วงแหวนก็คงจะล่มสลาย”

“ถ้าเราได้รับการปกป้องแล้ว แล้วทำไมยังจะต้องลาดตระเวนหุบเขาอีกล่ะ?” ธอร์ถาม

“ดาบเพียงแต่ช่วยป้องกันภัยสำคัญ” เจ้าชายทรงอธิบาย “พวกสัตว์ร้ายกลุ่มเล็ก ๆ สามารถแอบเข้ามาได้ ถึงจำเป็นต้องมีทหารของเรา สิ่งชั่วร้ายตัวเดียวสามารถข้ามหุบเขามาได้ หรือแม้แต่กลุ่มเล็ก ๆ พวกมันต้องอาจหาญมากที่จะข้ามสะพานมา หรือพวกมันอาจจะแฝงตัว ปีนลงไปตามหน้าผาด้านหนึ่ง แล้วปีนกลับขึ้นมาที่อีกด้าน เป็นหน้าที่ของเราที่จะจัดการพวกมัน สิ่งชั่วร้ายเพียงตัวเดียวก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายมหาศาลได้ หลายปีก่อน มีตัวหนึ่งหลุดเข้ามา และฆ่าเด็กตายไปครึ่งหมู่บ้านก่อนที่เราจะจัดการมันได้ แม้ดาบจะจัดการปัญหาส่วนใหญ่ แต่เราก็เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้”

ธอร์จดจำทุกสิ่งไว้และสงสัย หุบเขาดูใหญ่โต หน้าที่ของพวกเขานั้นสำคัญมาก เขาไม่อยากเชื่อว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่ยิ่งใหญ่นี้

“แต่แม้จะมีสิ่งเหล่านี้ ข้ายังอธิบายไม่กระจ่าง” เจ้าชายรีสตรัส “ยังมีเรื่องเกี่ยวกับหุบเขามากกว่าเพียงแค่นั้น” แล้วก็ทรงเงียบไป

ธอร์มองเจ้าชายและเห็นบางอย่างเหมือนความกลัวหรือความสงสัยในสายตาเขา

“ข้าจะอธิบายอย่างไรดี?” ทรงตรัสขึ้น พยายามคิดหาคำที่เหมาะ ก่อนจะทรงกระแอม “หุบเขานั้นมหึมากว่าพวกเราทุกคน หุบเขานั้นเป็น...”

“หุบเขาเป็นที่สำหรับผู้ใหญ่” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองที่มาของเสียง มีเสียงกระทืบเท้าของม้า

ธอร์ตาโต ผู้ที่ขี่ม้าเหยาะย่างอยู่ข้างเขา สวมเสื้อเกราะเต็มยศ มีอาวุธยาวเป็นประกายห้อยอยู่ด้านข้างของม้าที่น่าทึ่ง คืออีเร็ค เขายิ้มให้ทุกคน สายตาจับจ้องที่ธอร์

ธอร์เงยหน้ามองอย่างตกใจ

“มันเป็นสถานที่ที่จะทำให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่” อีเร็คกล่าวต่อ “หากเจ้ายังไม่เป็น”

ธอร์ไม่ได้พบอีเร็คนับตั้งแต่การประลองวันนั้น และรู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นเขา ได้มีอัศวินจริง ๆ มาอยู่ด้วยขณะที่มุ่งหน้าไปยังหุบเขา ยิ่งเป็นอีเร็คด้วยแล้ว ธอร์รู้สึกคงกระพันขึ้นมา และภาวนาให้อีเร็คไปกับพวกเขา

“ท่านมาทำอะไรที่นี่?” ธอร์ถาม “ท่านมาเป็นเพื่อนเราอย่างนั้นหรือ?” เขาถามอีก หวังว่าจะไม่ดูกระตือรือร้นเกินไป

อีเร็คเอนตัว พลางหัวเราะ

“ไม่ต้องห่วง เจ้าหนู” เขาบอก “ข้าจะไปกับเจ้า”

“จริงหรือ?” เจ้าชายตรัสถาม

“มันเป็นธรรมเนียมที่ทหารกองรบเงินจะต้องไปกับทหารยุวชนในภารกิจลาดตระเวนครั้งแรกของพวกเขา และข้าอาสามา”

อีเร็คหันมามองธอร์

“นอกจากนี้ เจ้ายังช่วยข้าไว้เมื่อวานนี้”

ธอร์รู้สึกใจพองโต ตัวลอยที่อีเร็คมาที่นี่ เขายังรู้สึกดีขึ้นในสายตาของเพื่อน ๆ นี่เขามีอัศวินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรมาเป็นเพื่อน ขณะที่มุ่งหน้าไปยังหุบเขา ความกลัวส่วนใหญ่จางหายไป

“แน่นอนว่าข้าจะไม่ไปลาดตระเวนกับพวกเจ้า” อีเร็คบอก “แต่ข้าจะพาเจ้าข้ามสะพาน ไปยังค่ายพักแรมของพวกเจ้า มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องเดินลาดตระเวนตามลำพังนับจากตรงนั้น”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ใต้เท้า” เจ้าชายตรัส

“ขอบคุณท่านมาก” โอคอนเนอร์และเอลเด็นบอกพร้อมกัน

อีเร็คมองที่ธอร์แล้วยิ้ม

“นอกจากนี้ ถ้าเจ้าจะเป็นเด็กติดตามอันดับหนึ่งของข้า ข้ายังปล่อยให้เจ้าตายไม่ได้”

“อันดับหนึ่ง?” ธอร์ถาม ใจเต้นสะดุด

“เฟธ์โกลด์ขาหักที่การประลองเมื่อวานนี้ เขาต้องพักแปดอาทิตย์เป็นอย่างน้อย ตอนนี้เจ้าเป็นเด็กติดตามอันดับหนึ่งแล้ว และการฝึกของเจ้าอาจจะเริ่มต้นด้วยใช่ไหม?”

“แน่นอน ใต้เท้า” ธอร์ตอบรับ

เขารู้สึกลิงโลด เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าโชคดีได้หันมาหาเขาแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นเด็กติดตามอันดับหนึ่งของอัศวินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขารู้สึกเหมือนล้ำหน้าเพื่อน ๆ ไป

ทั้งห้าคนยังคงเดินทางต่อไป มุ่งหน้าไปทางตะวันตกสู่ดวงอาทิตย์ที่กำลังตก อีเร็คขี่ม้าตามไปช้า ๆ

“ข้าเชื่อว่าท่านเคยไปที่หุบเขาแล้วใช่ไหม ใต้เท้า?” ธอร์ถาม

“หลายครั้ง” อีเร็คตอบ “จริง ๆ แล้วตอนลาดตระเวนครั้งแรก ข้าอายุประมาณเจ้า”

“แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าชายตรัสถาม

เด็กหนุ่มทั้งสี่หันมามองอีเร็ค รออย่างตั้งใจ อีเร็คขี่ม้าไปเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง มองตรงไปข้างหน้า

“ครั้งแรกจะเป็นประสบการณ์ที่พวกเจ้าไม่มีวันลืม มันยากที่จะอธิบาย มันเป็นสถานที่แปลกประหลาด ลึกลับและสวยงาม ที่อีกฝั่งมีอันตรายที่ยากจะจินตนาการถึง สะพานที่ข้ามไปนั้นยาวและชัน มีพวกเรามากมายกำลังลาดตระเวน แต่เจ้าก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวเสมอ เป็นธรรมชาติของมัน มันจะกดเจ้าไว้ภายใต้เงา ทหารของเราลาดตระเวนที่นั่นมาหลายร้อยปี เป็นพิธีที่ต้องผ่านไป เจ้าจะไม่เข้าใจอันตรายอย่างแท้จริงหากไม่เคยมาที่นี่ และเจ้าไม่อาจจะเป็นอัศวินได้หากไม่เคยผ่านไป”

เขาเงียบลงอีกครั้ง ทั้งสี่มองหน้ากันรู้สึกอึดอัด

“เราควรจะคาดหวังการต่อสู้ที่อีกฝั่งนั่นไหม?” ธอร์ถาม