เสียงร้องแห่งเกียรติยศ

Text
0
Kritiken
Leseprobe
Als gelesen kennzeichnen
Wie Sie das Buch nach dem Kauf lesen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ สิบ

แสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างเล็ก ๆ ในกระท่อมของอิลเลพรา แยงพระเนตรของเจ้าหญิงเกว็นโดลีนและปลุกพระนางให้ตื่นจากบรรทมช้า ๆ อาทิตย์ดวงแรกส่องแสงสีส้มเรื่อเรือง ไล้แสงปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นในรุ่งอรุณอันเงียบสงบ พระนางกระพริบพระเนตรหลายครั้ง ในตอนแรกยังทรงงุนงงและสงสัยว่าพระนางอยู่ที่ไหน จากนั้นจึงทรงระลึกได้

ก็อดฟรีย์

เจ้าหญิงเกว็นผล็อยหลับไปบนพื้นกระท่อม บนฟางที่ปูลาดเป็นที่นอนอยู่ข้างเตียงของเจ้าชายก็อดฟรีย์ อิลเลพรานอนอยู่ข้างเจ้าชาย เป็นค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับทั้งสาม เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเพ้ออยู่ตลอดคืน กระสับกระส่ายพลิกไปมา อิลเลพราคอยดูแลอยู่ตลอด เจ้าหญิงเกว็นทรงอยู่คอยช่วยทุกอย่างที่ทรงช่วยได้ ทรงหยิบผ้าชุบน้ำ บิดและวางบนพระนลาฏให้เจ้าชายก็อดฟรีย์ คอยหยิบสมุนไพรและยาส่งให้อิลเลพราตามที่นางร้องขอ เป็นค่ำคืนที่เหมือนจะไม่มีสิ้นสุด มีหลายครั้งที่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงตะโกนออกมา และพระนางทรงมั่นพระทัยว่าเชษฐากำลังจะสิ้นพระชนม์ หลายครั้งที่เจ้าชายทรงเพ้อเรียกหาพระบิดา ซึ่งทำให้เจ้าหญิงเกว็นทรงตัวเย็น พระนางทรงรู้สึกว่าพระบิดาอยู่ด้วย ทรงวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เจ้าหญิงทรงไม่รู้เลยว่าพระบิดาปรารถนาให้โอรสมีชีวิตอยู่หรือตาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองมักจะตึงเครียดอยู่เสมอ

เจ้าหญิงเกว็นบรรทมที่กระท่อมนี้เพราะพระนางเองก็ไม่มีที่อื่นที่จะไป เจ้าหญิงทรงรู้สึกไม่ปลอดภัยหากจะกลับไปที่ปราสาท ไปอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเชษฐา พระนางทรงรู้สึกปลอดภัยกว่าที่นี่ ในความดูแลของอิลเลพรา โดยมีอคอร์ธและฟุลตันคอยยืนเฝ้ายามให้ด้านนอก เจ้าหญิงทรงคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าพระนางอยู่ที่นี่และทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ในระยะหลังทรงสนิทสนมรักใคร่เจ้าชายก็อดฟรีย์ ทรงค้นพบเชษฐาในแบบที่พระนางไม่เคยรู้จัก และทรงเจ็บปวดเมื่อคิดว่าเขากำลังจะสิ้นพระชนม์

เจ้าหญิงเกว็นทรงลุกขึ้นยืนแล้วรีบไปหาเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระหทัยเต้นแรงพลางสงสัยว่าเชษฐาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เจ้าหญิงทรงรู้สึกได้ว่าหากเจ้าชายตื่นขึ้นในเช้านี้ หมายความว่าทรงรอด แต่หากไม่ฟื้น ทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว อิลเลพราลุกขึ้นและรีบมาดูเช่นกัน นางคงจะเผลอหลับตอนไหนสักเวลาเมื่อคืนนี้ เจ้าหญิงเกว็นไม่โทษนางเลย

ทั้งสองคุกเข่าอยู่เช่นนั้นข้างพระวรกายเจ้าชายก็อดฟรีย์ ท่ามกลางแสงสว่างในกระท่อมเล็ก ๆ เจ้าหญิงเกว็นทรงแตะข้อพระกรของเชษฐาแล้วเขย่า ขณะที่อิลเลพราวางมือลงบนพระนลาฏ นางหลับตาและสูดหายใจ ทันใดนั้นเจ้าชายก็อดฟรีย์ก็ลืมพระเนตรขึ้น อิลเลพรายกมือขึ้นด้วยความประหลาดใจ

เจ้าหญิงเกว็นเองก็ทรงประหลาดพระทัย พระนางไม่คาดว่าจะทรงเห็นเจ้าชายก็อดฟรีย์ลืมพระเนตรขึ้น เชษฐาทรงหันมาและทอดพระเนตรทองเจ้าหญิง

“ก็อดฟรีย์?” เจ้าหญิงตรัสถาม

เจ้าชายหรี่พระเนตรลง แล้วลืมขึ้นอีกครั้ง แล้วทรงยันพระวรกายขึ้นด้วยศอกข้างหนึ่ง มองมาที่ทั้งสอง

“กี่โมงแล้ว?” เจ้าชายตรัสถาม “ข้าอยู่ที่ไหน?”

พระสุรเสียงฟังดูตื่นตัวและแข็งแรงดี เจ้าหญิงเกว็นไม่เคยรู้สึกโล่งพระทัยเช่นนี้มาก่อน พระนางทรงแย้มสรวลกว้าง พร้อมกับอิลเลพรา

เจ้าหญิงเกว็นทรงโผเข้าหาและกอดเชษฐาไว้แน่น ก่อนจะผละออก

“พี่ยังไม่ตาย!” พระนางทรงร้องออกมา

“แน่นอนสิ” เจ้าชายตรัส “ทำไมข้าถึงจะตายเล่า? นี่ใครกัน?” เจ้าชายตรัสถาม ทรงหันไปหาอิลเลพรา

“นางเป็นคนช่วยชีวิตพี่ไว้” เจ้าหญิงเกว็นตรัสตอบ

“ช่วยชีวิตข้าหรือ?”

อิลเลพราก้มหน้ามองพื้น

“ข้าช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” นางทูลตอบอย่างถ่อมตัว

“เกิดอะไรขึ้นกับข้า?” เจ้าชายตรัสถามเจ้าหญิงเกว็นด้วยความตกพระทัย “สิ่งสุดท้ายที่ข้าจำได้คือข้ากำลังดื่มอยู่ในร้านเหล้า และจากนั้น...”

“ท่านถูกวางยาพิษ” อิลเลพราทูล “เป็นยาพิษที่หายากและฤทธิ์แรงมาก ข้าไม่ได้พบมาหลายปีแล้ว ทรงโชคดีมากที่รอดมาได้ ที่จริงแล้วท่านทรงเป็นคนเดียวที่ข้าเคยเห็นว่ารอดจากยาพิษนี้ได้ คงมีใครคอยคุ้มครองท่านอยู่”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เจ้าหญิงเกว็นทรงคิดว่านางพูดถูกและทรงคิดถึงพระบิดาในทันที แสงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาแรงกล้ามากขึ้น เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าพระบิดาอยู่ที่นี่ด้วย พระองค์ทรงต้องการให้ก็อดฟรีย์มีชีวิตอยู่

“สมน้ำหน้าพี่แล้ว” เจ้าหญิงเกว็นตรัสพลางแย้มสรวล “พี่สัญญาว่าจะเลิกดื่มเหล้าเอล ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงหันมาแย้มสรวลกับขนิษฐา เจ้าหญิงทรงเห็นสีสันแห่งชีวิตบนพระปรางของเชษฐาและรู้สึกโล่งอก ก็อดฟรีย์กลับมาแล้ว

“เจ้าช่วยชีวิตข้า” เจ้าชายตรัสอย่างจริงจัง

เจ้าชายทรงหันไปหาอิลเลพรา

“เจ้าทั้งสองคนช่วยชีวิตข้า” พระองค์ตรัสต่อ “ข้าไม่รู้จะตอบแทนพวกเจ้าได้อย่างไร”

ขณะที่เจ้าชายทรงมองอิลเลพรา เจ้าหญิงเกว็นทรงสังเกตเห็นบางอย่าง มีบางอย่างในสายพระเนตร บางอย่างที่มากกว่าความขอบคุณ พระนางทรงหันไปหาอิลเลพรา และเห็นว่านางหน้าแดง ก้มมองพื้น เจ้าหญิงเกว็นทรงรู้ว่าทั้งสองต่างพอใจกัน

อิลเลพรารีบหันหลังเดินไปอีกฟาก ทำเป็นวุ่นวายอยู่กับตำรับยา

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงหันมาหาเจ้าหญิงเกว็น

“กาเร็ธเหรอ์” เจ้าชายตรัสถามอย่างเคร่งขรึมขึ้นมา

เจ้าหญิงเกว็นพยักพระพักตร์ตอบ ทรงเข้าใจในสิ่งที่เชษฐาตรัสถาม

“พี่โชคดีที่ไม่ตาย” พระนางตรัส “แต่เฟิร์ธไม่รอด”

“เฟิร์ธหรือ?” เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสเสียงสูงด้วยความประหลาดพระทัย “ตายแล้วหรือ? ยังไงกัน?”

“เขาถูกแขวนคอจากขื่อ” พระนางตรัส “พี่ควรจะเป็นคนต่อไป”

“แล้วเจ้าล่ะ?” เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสถาม

เจ้าหญิงเกว็นทรงยักอังสา

“เขาเตรียมจะส่งข้าไปแต่งงาน เขาขายข้าให้พวกเนวารัน ดูเหมือนพวกนั้นกำลังเดินทางมารับตัวข้า”

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงลุกขึ้นด้วยความกริ้ว

“ข้าไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่!” เจ้าชายทรงประกาศ

“ข้าก็เหมือนกัน” เจ้าหญิงตรัส “ข้าจะต้องหาทางออก”

“แต่ถ้าไม่มีเฟิร์ธ เราก็ไม่มีหลักฐาน” เจ้าชายตรัส “เราไม่มีทางโค่นเขาลงได้ กาเร็ธจะเป็นอิสระ”

“เราจะต้องหาวิธี” พระนางตรัสบอก “เราจะต้องหา...”

ทันใดนั้นประตูกระท่อมก็เปิดออก กระท่อมสว่างไปด้วยแสง อคอร์ธกับฟุลตัสเดินเข้ามา

“เจ้าหญิง...” อคอร์ธทูลขึ้น ก่อนจะหันไปเห็นเจ้าชายก็อดฟรีย์

“ไอ้ลูกหมา!” อคอร์ธตะโกนขึ้นด้วยความยินดีที่เห็นเจ้าชายก็อดฟรีย์ “ข้านึกแล้ว! ท่านโกงได้ทุกอย่างในชีวิต ข้ารู้ว่าท่านจะต้องโกงความตายได้ด้วย!”

“ข้ารู้ว่าเหล้าเหยือกเดียวพาท่านลงหลุมไม่ได้หรอก!” ฟุลตันกล่าวเสริม

อคอร์ธและฟุลตันวิ่งเข้ามาหา ขณะที่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงลุกจากเตียง แล้วทุกคนต่างสวมกอดกัน

จากนั้นอคอร์ธจึงหันไปหาเจ้าหญิงเกว็นอย่างจริงจัง

“ฝ่าบาท ข้าเสียใจที่ต้องรบกวนท่าน แต่เราเห็นกองทหารตรงขอบฟ้า พวกนั้นกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา”

เจ้าหญิงเกว็นทรงมองเขาด้วยความตกพระทัย แล้วรีบวิ่งไปด้านนอก โดยมีทุกคนตามหลังมา เจ้าหญิงทรงก้มพระเศียรและหรี่พระเนตรในแสงอาทิตย์แรงกล้า

ทั้งหมดออกมายืนด้านนอก เจ้าหญิงเกว็นทอดพระเนตรไปทางขอบฟ้าและเห็นทหารกองรบเงินกลุ่มเล็กกำลังขี่ม้ามาทางกระท่อม ทหารหกนายกำลังขี่ม้ามาด้วยความเร็วเต็มที่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขากำลังรีบมาที่นี่

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงจับดาบ แต่เจ้าหญิงเกว็นทรงแตะพระหัตถ์ลงที่ข้อพระกรให้คลายกังวล

“พวกนี้ไม่ใช่คนของกาเร็ธ พวกเขาเป็นคนของเคนดริค ข้ามั่นใจว่าพวกเขามาอย่างสันติ”

กลุ่มทหารมาถึงและกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่หยุด ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าหญิงเกว็นโดลีน

“ฝ่าบาท!” หัวหน้าคณะทูลขึ้น “พวกเรานำข่าวดีมาทูล พวกเราสามารถตีโต้กองทัพของแม็คคลาวด์ได้! เจ้าชายเคนดริค เชษฐาของพระองค์ทรงปลอดภัย เจ้าชายสั่งให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่ท่านว่า ธอร์ปลอดภัยดี”

เจ้าหญิงเกว็นทรงกรรแสงออกมาทันทีที่ได้รู้ข่าว ทั้งโล่งอกและดีใจ เจ้าหญิงทรงหันไปสวมกอดเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระนางทรงรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

“ทุกคนจะกลับมาในวันนี้” พลนำสารทูลต่อ “และจะมีการฉลองใหญ่ที่ราชสำนัก!”

“เป็นข่าวดีจริง ๆ!” เจ้าหญิงเกว็นทรงอุทาน

“ฝ่าบาท” มีเสียงแหบต่ำทูลขึ้น เจ้าหญิงเกว็นทรงหันไปเห็นสร็อก อัศวินผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งแต่งกายด้วยสีแดงเฉพาะของทางตะวันตก เขาเป็นคนที่เจ้าหญิงทรงรู้จักมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นทหารคนสนิทของพระบิดา เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพระนางและทำให้เจ้าหญิงทรงรู้สึกละอาย

“ได้โปรด ท่าน” เจ้าหญิงตรัส “อย่าคุกเข่าให้ข้าเลย”

เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นลอร์ดที่มีอิทธิพลคนหนึ่ง มีทหารในควบคุมหลายพันนาย และครองเมืองซิเลเซีย ปราการด้านตะวันตก ซึ่งเป็นเมืองพิเศษ สร้างอยู่บนหน้าผา ริมขอบหุบเขาใหญ่ เป็นเมืองที่แทบจะฝ่าเข้าไปไม่ได้เลย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พระบิดาทรงไว้วางพระทัย

“ข้าขี่ม้ามาที่นี่พร้อมกับทหารเหล่านี้ เพราะข้าได้ยินว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก” เขาทูลขึ้นอย่างรอบรู้ “บัลลังก์ไม่มั่นคง ผู้ครองบัลลังก์คนใหม่ ผู้ปกครองที่หนักแน่น และเป็นตัวจริง จะต้องขึ้นแทนที่ มีข่าวไปถึงข้าว่าพระบิดาของท่านทรงปรารถนาให้ท่านได้สืบทอดราชบัลลังก์ พระบิดาของท่านเป็นดั่งพี่น้องของข้า พระประสงค์ของพระองค์คือสิ่งที่ข้ายึดมั่น หากนั่นคือพระประสงค์ของพระองค์ ก็จะเป็นความต้องการของข้าด้วย ข้ามาเมื่อทูลให้ทรงทราบว่า หากท่านควรได้ขึ้นปกครอง เช่นนั้นคนของข้าขอสาบานที่จะจงรักภักดีต่อท่าน ข้าขอให้ทรงรีบดำเนินการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าราชสำนักต้องการผู้ปกครองคนใหม่”

เจ้าหญิงเกว็นทรงยืนนิ่งด้วยความตกพระทัย แทบไม่รู้เลยว่าจะทรงตอบอย่างไร พระนางทรงรู้สึกถ่อมตัวอย่างยิ่งและทรงภาคภูมิใจด้วย และเจ้าหญิงยังทรงรู้สึกตื้นตันอย่างยิ่งยวด

“ข้าขอขอบใจท่านมาก” เจ้าหญิงตรัส “ข้าซาบซึ้งกับคำพูดของท่านและข้อเสนอของท่าน ข้าจะไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ตอนนี้ข้าเพียงแต่อยากจะต้อนรับพี่ชายกลับบ้าน รวมทั้งธอร์ด้วย”

สร็อกน้อมรับ ขณะที่มีเสียงแตรดังขึ้นที่ขอบฟ้า เจ้าหญิงเกว็นทรงเงยหน้าขึ้นทอดพระเนตร ทรงเห็นฝุ่นฟุ้งตลบ เมื่อกองทัพหลวงปรากฏขึ้น พระนางทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องแสงอาทิตย์ แล้วพระหทัยพองฟูขึ้น เจ้าหญิงทรงบอกได้ว่าพวกนั้นเป็นใครแม้จากตรงนี้ นั่นคือกองรบเงินและกองทัพของพระราชา

คนที่ขี่ม้านำมาด้านหน้านั้นคือ ธอร์

บทที่ สิบเอ็ด

ธอร์ขี่ม้ามาพร้อมกับกองทัพใหญ่ ทหารหลายพันคนมุ่งหน้าไปยังราชสำนักพร้อมกัน และเขารู้สึกถึงชัยชนะ แม้เขาจะยังลำดับไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ธอร์ภูมิใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ภูมิใจที่แม้เหตุการณ์ในสนามรบจะดูเหมือนย่ำแย่อย่างที่สุด แต่เขาก็ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ความกลัว ยังคงยืนและเผชิญหน้ากับศัตรูเหล่านั้น ซึ่งเขาเองก็ตกใจที่สามารถรอดชีวิตมาได้

การสู้รบทั้งหมดนั่นเป็นเหมือนความฝัน ธอร์รู้สึกดีใจที่เขาสามารถเรียกพลังออกมาใช้ได้ แม้เขาจะยังสับสนที่พลังของเขาไม่สามารถใช้งานได้ตลอด เขายังไม่เข้าใจมันและที่แย่กว่านั้น เขาไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหนหรือจะเรียกใช้ได้อย่างไร มันทำให้เขารู้ว่าเขาต้องพึ่งพาทักษะการต่อสู้ส่วนตัวของเขาด้วย เขาต้องเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุด เป็นนักรบที่เก่งที่สุด ธอร์เริ่มตระหนักว่าการจะเป็นนักรบที่เก่งที่สุดนั้น เขาต้องการทั้งสองด้านของตัวเอง ทั้งการเป็นนักสู้และผู้วิเศษ หากนั่นเป็นสิ่งที่เขาเป็น

 

ธอร์ขี่ม้ามาตลอดคืนเพื่อกลับมายังราชสำนัก เขาเหนื่อยอ่อนมากแต่ก็มีความสุข อาทิตย์ดวงแรกโผล่พ้นขอบฟ้า ท้องฟ้ากว้างตรงหน้าเขาแต่งแต้มด้วยแสงสีเหลืองและชมพูหลายเฉด ธอร์รู้สึกเหมือนได้เห็นโลกนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่เคยรู้สึกมีชีวิตชีวาเช่นนี้ เพื่อน ๆ รายล้อมอยู่รอบตัวเขาทั้งเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็นและคู่แฝด และยังมีเจ้าชายเคนดริค คอล์ค บรอม และกองทหารยุวชน กองรบเงิน และทหารในกองทัพหลวง แทนที่ธอร์จะได้ขี่ม้าอยู่ชายขอบ เขากลับได้ขี่มาตรงกลาง ห้อมล้อมด้วยผู้คนเหล่านี้ ที่จริงแล้วทุกคนต่างมองเขาเปลี่ยนไปนับตั้งแต่การรบ ตอนนี้เขาเห็นความชื่นชมในแววตา ไม่เพียงจากเพื่อนทหารยุวชน แต่จากสายตาของนักรบตัวจริงด้วย เขาเผชิญหน้ากับกองทัพแม็คคลาวด์ด้วยตัวเองและพลิกสถานการณ์การศึกได้

ธอร์มีความสุขที่เขาไม่ทำให้เพื่อนทหารยุวชนผิดหวัง เขามีความสุขที่เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับอันตราย และรู้สึกเสียใจกับเพื่อนที่ต้องตายไปในการต่อสู้ เขาไม่รู้จักพวกนั้นแต่ก็อยากจะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้ มันเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงและนองเลือด แม้ตอนนี้ขณะที่กำลังขี่ม้าอยู่นี้ เวลาที่เขากระพริบตา ภาพการต่อสู้จะโผล่เข้ามาในหัว ภาพอาวุธต่าง ๆ และศัตรูที่พุ่งเข้าหา พวกแม็คคลาวด์นั้นโหดร้าย ธอร์โชคดีแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะโชคดีเช่นนี้อีกไหมถ้าต้องเจอพวกนั้นอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะสามารถเรียกพลังมาใช้ได้อีกไหม เขาไม่รู้เลยว่ามันจะกลับมาอีกไหม เขาต้องการคำตอบ และเขาต้องตามหามารดา ธอร์อยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ เขาต้องตามหาอาร์กอน

โครห์นร้องครางอยู่ด้านหลัง ธอร์เอนหลังไปลูบหัวมัน ขณะที่โครห์นเลียฝ่ามือของเขา ธอร์โล่งอกที่โครห์นปลอดภัยดี เขาอุ้มมันออกจากสนามรบและมัดไว้บนหลังม้า โครห์นดูเหมือนจะเดินได้ แต่ธอร์อยากให้มันได้พักระหว่างการเดินทางกลับอันยาวนาน โครห์นโดนฟาดอย่างแรง ธอร์คิดว่ามันอาจจะซี่โครงหัก เขาแทบไม่รู้จะขอบใจมันอย่างไร มันเป็นเหมือนพี่น้องมากกว่าสัตว์เลี้ยง และมันได้ช่วยชีวิตเขาไว้มากกว่าหนึ่งครั้ง

เมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงยอดเนิน ภาพอาณาจักรที่แผ่กว้างก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เมืองอันรุ่งโรจน์ของราชสำนักแผ่เหยียดยาวไป มีหอคอยและยอดแหลมของอาคารหลายสิบแห่งอยู่ภายในกำแพงหินโบราณ สะพานชักขนาดใหญ่ ประตูโค้งต่าง ๆ ทหารหลายร้อยนายยืนประจำยามอยู่บนเชิงเทินและตามถนนหนทาง มองเห็นเรือกสวนไร่นาอยู่ถัดไป และแน่นอนปราสาทของพระราชาตั้งอยู่ตรงกลางเมือง ธอร์คิดถึงเจ้าหญิงเกว็นขึ้นมาทันที พระนางทรงช่วยยึดเหนี่ยวเขาไว้ในสนามรบ ทรงเป็นเหตุผลและเป้าหมายที่เขาต้องมีชีวิตอยู่ เมื่อรู้ว่าเขาถูกหลอกให้ไปติดกับ และถูกซุ่มโจมตี ธอร์ก็กังวลกับความปลอดภัยของพระนางขึ้นมาทันที เขาหวังว่าเจ้าหญิงจะทรงปลอดภัยดี และไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังความหลอกลวงนี้ จะไม่แตะต้องพระนาง

ธอร์ได้ยินเสียงโห่ร้องดังอยู่ไกล ๆ เห็นบางอย่างระยิบระยับอยู่ในแสงแดด เมื่อเขาหรี่ตามองดูจากบนยอดเนิน เขาก็เห็นว่าประชาชนออกมารวมตัวกันด้านหน้าราชสำนัก เข้าแถวไปตามแนวถนน และโบกธง ผู้คนออกมาชุมนุมกันเพื่อต้อนรับพวกเขา

ใครบางคนเป่าแตรขึ้น ธอร์รู้ว่าพวกเขากำลังได้รับการต้อนรับกลับบ้าน เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา ที่เขาไม่รู้สึกเป็นคนนอก

“เสียงแตรนั่น สำหรับเจ้า” เจ้าชายรีซตรัส ทรงขี่ม้าอยู่ข้างเขา และตบบ่าเขาเบา ๆ ทอดพระเนตรมองเขาด้วยความนับถือ “เจ้าคือแชมเปี้ยนของศึกครั้งนี้ เจ้าเป็นวีรบุรุษของทุกคนแล้ว”

“คิดดูสิ พวกเราคนหนึ่ง เป็นแค่ทหารยุวชน กลับสามารถจัดการกองทัพแม็คคลาวด์ทั้งกองทัพได้” โอคอนเนอร์กล่าวด้วยความภูมิใจ

“เจ้านำเกียรติยศมาให้กองทหารยุวชน” เอลเด็นบอก “ตอนนี้พวกเขาจะต้องยอมรับนับถือพวกเราอย่างจริงจังมากขึ้น”

“นี่ยังไม่พูดถึงที่เจ้าได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ด้วย” คอนวอลกล่าว

ธอร์ยักไหล่ รู้สึกภาคภูมิใจ แต่ก็ปฏิเสธที่จะให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาในใจ เขารู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ อ่อนแอและบอบบางเหมือนเช่นคนอื่น ๆ เขารู้ว่าการสู้รบอาจจะพลิกเป็นอีกอย่างหนึ่งได้

“ข้าเพียงแต่ทำสิ่งที่ฝึกฝนมา” ธอร์บอก “สิ่งที่พวกเราทุกคนฝึกมา ข้าไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ วันนี้ข้าเพียงแต่โชคดีเท่านั้น”

“ข้าอยากจะบอกว่านั่นมันมากกว่าโชค” เจ้าชายรีซตรัส

พวกเขายังคงขี่ม้าเหยาะย่างช้า ๆ ไปตามถนนหลักที่ทอดสู่เขตราชสำนัก ขณะนั้นถนนเริ่มมีผู้คนมาชุมนุมจากเขตนอกเมือง ส่งเสียงโห่ร้อง โบกธงสีน้ำเงินเหลืองประจำราชวงศ์แม็คกิล ธอร์รู้ว่านี่กำลังจะกลายเป็นขบวนพาเหรด ผู้คนทั้งเมืองจะออกมาเฉลิมฉลองให้พวกเขา เขามองเห็นความโล่งอกและยินดีบนใบหน้าของทุกคน ซึ่งเขาเข้าใจว่าเพราะเหตุใด หากกองทัพแม็คคลาวด์เข้ามาใกล้มากขึ้นอีก พวกมันก็คงจะทำลายทุกสิ่ง

ธอร์ขี่ม้าฝ่าฝูงชนไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ข้ามสะพานชักทำด้วยไม้ เสียงกีบเท้าม้าย่ำไปบนพื้นไม้ ทุกคนผ่านประตูโค้งหินใหญ่ ลอดใต้อุโมงค์ไปโผล่อีกด้าน เข้าสู่ราชสำนัก ที่ซึ่งพวกเขาได้พบกับฝูงชนที่โห่ร้องยินดี ทุกคนโบกธงและโยนลูกอมให้ คณะนักดนตรีเริ่มบรรเลง เสียงฉาบ กลองดังขึ้น ขณะที่ผู้คนเริ่มต้นเต้นรำกันบนถนน

ธอร์ลงจากหลังม้าพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อฝูงชนหนาแน่นเกินกว่าจะขี่ม้าต่อไป เขาเอื้อมไปช่วยโครห์นลงจากหลังม้า มองดูมันอย่างระวังเมื่อเห็นมันปวกเปียก ก่อนที่จะลุกขึ้นเดิน มันสบายดีพอที่จะเดินได้แล้ว ทำให้ธอร์โล่งอก โครห์นหันมาเลียมือเขาหลายครั้ง

ทั้งคณะเดินผ่านจัตุรัสไป ธอร์ได้กอดและโอบจากรอบด้านโดยคนที่เขาไม่รู้จัก

“ท่านช่วยพวกเราไว้!” ผู้เฒ่าคนหนึ่งตะโกนขึ้น “ท่านช่วยให้อาณาจักรของเราเป็นอิสระ!”

ธอร์อยากจะตอบ แต่ก็ทำไม่ได้ เสียงของเขาถูกกลืนหายไปกับเสียงอึกทึกของผู้คนหลายร้อยคนที่ต่างโห่ร้องและตะโกนอยู่รอบตัวพวกเขา ทั้งยังเสียงดนตรีที่บรรเลงขึ้น ในไม่ช้าถังเอลก็ถูกกลิ้งออกมาในสนาม ชาวบ้านเริ่มดื่ม ร้องรำทำเพลงและหัวเราะกัน

แต่ในใจธอร์มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น เจ้าหญิงเกว็นโดลีน เขาอยากพบพระนาง ธอร์กวาดตามองหา อยากจะเห็นพระนางเพียงแว่บหนึ่ง เขามั่นใจว่าเจ้าหญิงจะต้องอยู่ที่นี่ แต่ต้องใจเสียที่มองหาพระนางไม่พบ

เขารู้สึกว่ามีคนสะกิดที่ไหล่

“ข้าเชื่อว่าสตรีที่เจ้ากำลังมองหาอยู่ทางนี้นะ” เจ้าชายรีซตรัส ทรงดึงเขาหันไปแล้วชี้ไปอีกทาง

ธอร์หันไปมอง ดวงตาเป็นประกายขึ้น ผู้ที่กำลังรีบตรงมาหาเขา มีรอยแย้มสรวลกว้างด้วยความโล่งพระทัยบนพระพักตร์ และดูเหมือนทรงไม่ได้พักผ่อนมาตลอดคืน นั่นคือเจ้าหญิงเกว็นโดลีน

พระนางดูงดงามยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็น เจ้าหญิงทรงรีบเสด็จมาหาเขาและวิ่งเข้าหาอ้อมแขนของธอร์ พระนางทรงกระโดดกอดเขาไว้ ซึ่งธอร์กอดตอบแนบแน่น หมุนพระนางไปรอบ ๆ เจ้าหญิงกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ธอร์รู้สึกถึงน้ำพระเนตรที่หยดลงที่ลำคอ เขารู้สึกถึงความรักที่ทรงมีให้ ซึ่งเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณพระเจ้าที่เจ้ารอดชีวิต” เจ้าหญิงตรัสด้วยความดีใจ

“ข้าคิดถึงแต่ท่าน” ธอร์ทูลตอบพลางกอดพระนางไว้แน่น เมื่อเขาได้กอดพระนางไว้ทุกสิ่งในโลกดูเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

ธอร์ผละออกช้า ๆ เจ้าหญิงเงยพระพักตร์ขึ้นมองเขา ก่อนจะจุมพิตกันเนิ่นนาน ผู้คนเต้นรำอยู่รอบตัวทั้งสอง

“เกว็นโดลีน!” เจ้าชายรีซร้องขึ้นด้วยความยินดี

เจ้าหญิงทรงหันไปและสวมกอดอนุชาไว้ เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงก้าวออกมาและกอดธอร์ ก่อนจะหันไปกอดเจ้าชายรีซผู้เป็นอนุชา เป็นการรวมตัวของครอบครัวซึ่งธอร์รู้สึกราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่ง ราวกับคนเหล่านี้คือครอบครัวของเขาเอง ทุกคนมารวมกันด้วยความรักที่มีต่อราชาแม็คกิล และความเกลียดชังที่มีต่อราชากาเร็ธ

โครห์นกระโจนเข้าหาเจ้าหญิงเกว็นโดลีน พระนางทรงเซไปพลางทรงพระสรวล และทรงกอดมันไว้ขณะที่โครห์นเลียพระพักตร์

“เจ้าตัวโตขึ้นทุกวันเลย!” เจ้าหญิงทรงอุทาน “ข้าจะขอบใจเจ้าอย่างไรดีที่ช่วยให้ธอร์ปลอดภัย?”

โครห์นกระโดดตะกายหาหลายครั้งจนในที่สุดเจ้าหญิงต้องตีมันเบาพลางทรงพระสรวล

“ไปจากที่นี่กันเถอะ” เจ้าหญิงเกว็นตรัสบอกธอร์ ทรงถูกเบียดจากฝูงชนที่รายล้อมอยู่ เจ้าหญิงทรงจับมือธอร์ไว้

ธอร์ก็กุมพระหัตถ์พระนางไว้ และกำลังจะตามไป เมื่อจู่ ๆ อัศวินกองรบเงินหลายคนก็เข้ามาด้านหลังธอร์ แล้วยกเขาลอยขึ้นในอากาศ ชูไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะแบกเขาไว้บนบ่า ขณะที่ธอร์ถูกยกลอยอยู่ในอากาศ มีเสียงตะโกนดังมาจากฝูงชน

“ธอร์กริน!” ผู้คนต่างโห่ร้อง

ธอร์ถูกหมุนไปรอบ ๆ เมื่อเหยือกเอลถูกยัดใส่มือเขา ธอร์เงยหน้าขึ้นดื่ม ผู้คนส่งเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง

ธอร์ถูกวางลงอย่างไม่มีพิธีรีตอง เขาเซไปพลางหัวเราะ ขณะที่ชาวบ้านโอบล้อมเขาไว้

“เรากำลังจะไปที่งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ” อัศวินคนหนึ่งบอก ธอร์ไม่รู้จักอัศวินกองรบเงินที่ตบหลังเขาด้วยฝ่ามือหนา “เป็นงานเลี้ยงสำหรับนักรบเท่านั้น สำหรับชายหนุ่ม เจ้าต้องไปร่วมงานด้วย เขาจัดที่ให้เจ้าไว้แล้ว เจ้าและเจ้าและเจ้าด้วย” เขาบอกพลางหันไปหาเจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์และเพื่อนคนอื่น ๆ ของธอร์ “พวกเจ้าเป็นชายหนุ่มแล้ว และเจ้าต้องไปร่วมวงกับพวกเรา”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกเมื่อพวกเขาถูกอัศวินกองรบเงินคว้าตัวไป ธอร์สะบัดหลุดในวินาทีสุดท้ายและหันมาหาเจ้าหญิงเกว็น เขารู้สึกผิดและไม่อยากให้พระนางทรงผิดหวัง

“ไปกับพวกเขาเถอะ” พระนางตรัสอย่างไม่เห็นแก่พระองค์เอง “เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าต้องทำ ไปร่วมงานเลี้ยงกับพี่น้องของเจ้า ฉลองร่วมกับพวกเขา มันเป็นธรรมเนียมของกองรบเงิน เจ้าไม่ควรพลาด คืนนี้ค่อยมาพบข้าที่ประตูด้านหลังหออาวุธ ตอนนั้นเราค่อยอยู่ด้วยกัน”

ธอร์ชะโงกไปจุมพิตพระนางอีกครั้งเนิ่นนานเท่าที่จะทำได้ จนถูกเพื่อนทหารดึงตัวไป

“ข้ารักเจ้า” เจ้าหญิงตรัสบอกเขา

“ข้าก็รักท่าน” เขาทูลบอก หมายความตามคำพูดยิ่งกว่าที่เจ้าหญิงจะทรงรู้

สิ่งที่เขาคิดถึงระหว่างที่ถูกลากตัวไป ระหว่างที่มองพระเนตรคู่งามที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเขา คือสิ่งที่เขาต้องการยิ่งกว่าสิ่งใด เขาต้องการขอเจ้าหญิงแต่งงาน เพื่อให้พระนางเป็นของเขาตลอดไป แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาบอกตัวเองว่าในไม่ช้านี้ล่ะ

บางทีอาจจะเป็นคืนนี้

บทที่ สิบสอง

ราชากาเร็ธทรงยืนอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ ทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างเมื่อแสงอรุณฉายแสงเหนือราชสำนัก เมื่องทรงเห็นราษฎรที่ออกมาชุมนุมกันด้านล่างแล้วทรงรู้สึกคลื่นไส้ ณ ขอบฟ้านั้นมีสิ่งที่ทรงหวั่นเกรงที่สุด เป็นภาพที่ทรงหวาดกลัวที่สุด ภาพกองทัพหลวงกำลังเดินทางกลับมาพร้อมชัยชนะ ความภาคภูมิใจที่มีชัยเหนือกองทัพแม็คคลาวด์ เจ้าชายเคนดริคและธอร์ขี่ม้านำหน้ามาอย่างเสรี และมีชีวิต เป็นวีรบุรุษ สายสืบของพระองค์ได้ทูลรายงานให้ทรงทราบแล้วว่าธอร์รอดจากการถูกซุ่มโจมตี เขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี ตอนนี้เหล่าทหารต่างฮึกเหิม และเดินทางกลับมายังราชสำนักในฐานะกองทัพที่แข็งแกร่ง แผนการทุกอย่างที่ทรงวางไว้ถูกทำลายย่อยยับ เหลือเพียงความปั่นป่วนในพระนาภี ราชากาเร็ธทรงรู้สึกว่าอาณาจักรกำลังรุกเข้าหาพระองค์

ราชากาเร็ธทรงได้ยินเสียงเอี้ยดอ้าดภายในห้อง พระองค์ทรงหันมาและต้องหลับพระเนตรลงอย่างรวดเร็วกับภาพที่เห็นตรงหน้า และตัวแข็งด้วยความกลัว

“จงลืมตาขึ้น ลูกชาย!” มีเสียงดังก้องขึ้น

ราชากาเร็ธทรงลืมพระเนตรขึ้นพลางตัวสั่น ทรงตกตะลึงที่ได้เห็นพระบิดาทรงยืนอยู่ตรงนั้น พระศพที่กำลังเน่าเปื่อย มีมงกุฎขึ้นสนิมบนพระเศียร และถือคทาเป็นสนิมอยู่ในพระหัตถ์ พระองค์ทรงมองมาด้วยด้วยแววตำหนิในสายพระเนตร

“เลือดต้องล้างด้วยเลือด” พระบิดาทรงประกาศ

“ข้าเกลียดท่าน!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน “ข้าเกลียดท่าน!” ทรงตรัสย้ำ และชักพระแสงมีดสั้นออกจากรัดพระองค์ และพุ่งเข้าหาพระบิดา

เมื่อพระองค์ไปถึงพระบิดา ทรงฟันมีดสั้นเข้าใส่ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ทำให้ทรงเซถลาไป

ราชากาเร็ธทรงหันหา แต่วิญญาณได้หายไปแล้ว พระองค์ทรงอยู่เพียงลำพังในห้อง ทรงอยู่ลำพังมาตลอด นี่พระองค์ทรงเสียสติไปแล้วใช่ไหม?

ราชากาเร็ธทรงวิ่งไปที่มุมห้องบรรทม ทรงรื้อค้นในตู้ฉลองพระองค์และหยิบกล้องยาฝิ่นออกมาด้วยพระหัตถ์สั่นเทา ราชากาเร็ธทรงรีบจุดกล้องแล้วสูดยาฝิ่นเข้าลึกหลายหน พระองค์ทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ยาแล่นไปทั่วพระวรกาย และทรงล่องลอยไปอาการเมายา พระองค์ทรงติดฝิ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะหลังมานี้ มันดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยขจัดภาพของพระบิดาให้หายไปได้ ราชากาเร็ธทรงทรมานที่ต้องอยู่ที่นี่ และทรงเริ่มสงสัยว่าวิญญาณของพระบิดาติดอยู่ผนังเหล่านี้หรือไม่ และพระองค์ควรจะย้ายราชสำนักไปอยู่ที่อื่นแทนหรือไม่ พระองค์ทรงอยากจะรื้อที่นี่อยู่แล้ว ที่นี่มีความทรงจำในวัยเยาว์ทุกอย่างที่พระองค์ทรงเกลียด

ราชากาเร็ธทรงหันไปทางหน้าต่าง พระเสโทเย็นไหลไปทั่วพระวรกาย ทรงเช็ดพระเสโทบนพระนลาฏด้วยหลังพระหัตถ์ พระองค์ทรงทอดพระเนตรกองทัพกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา ทรงสามารถมองเห็นธอร์ได้แม้จากตรงนี้ ราษฎรโง่เง่าห้อมล้อมเขาราวกับวีรบุรุษ ทำให้ราชากาเร็ธยิ่งทรงหงุดหงิด ทำให้พระองค์รุ่มร้อนด้วยความริษยา แผนการทุกอย่างที่ทรงวางไว้ล้มเหลวหมด เคนดริคเป็นอิสระ ธอร์ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ก็อดฟรีย์ก็ยังรอดมาจากยาพิษจนได้ ยาพิษนั่นมากพอจะฆ่าม้าได้ด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างไรแผนการอื่นของพระองค์ก็ได้ผล อย่างน้อยที่สุดเฟิร์ธก็ตาย ไม่มีพยานยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้ปลงพระชนม์พระบิดา ราชากาเร็ธทรงหายพระทัยเข้าลึก ทรงเบาใจเมื่อรู้ว่าทุกสิ่งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น นอกจากนี้ขบวนของพวกเนวารันกำลังเดินทางมาเพื่อพาเกว็นโดลีนไป ลากนางไปอยู่ในมุมที่เลวร้ายในอาณาจักรวงแหวนและให้นางแต่งงานออกไป ราชาทรงแย้มสรวลเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทรงเริ่มรู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยที่สุดนางก็จะไปให้พ้นหูพ้นตาในไม่ช้านี้

ราชากาเร็ธทรงมีเวลา พระองค์จะหาหนทางอื่นจัดการกับเคนดริค ธอร์และก็อดฟรีย์ ทรงมีแผนการมากมายที่จะกำจัดพวกนั้นไปเสีย และทรงมีทั้งเวลาและอำนาจที่จะทำให้เกิดขึ้น เอาเถิด ครั้งนี้พวกมันชนะ แต่พวกมันจะต้องแพ้ในครั้งต่อไป

ราชากาเร็ธทรงได้ยินเสียงครางดังขึ้น เมื่อทรงหันมาก็ไม่พบอะไรในห้องบรรทม พระองค์ต้องออกไปจากที่นี่ ทรงไม่อาจทนได้อีกต่อไป

ราชาหันหลังและเสด็จออกจากห้องไป ประตูเปิดออกก่อนที่พระองค์จะไปถึง มหาดเล็กคอยระวังทุกพระอิริยาบถ

ราชากาเร็ธทรงฉลองพระองค์คลุมและมงกุฎของพระบิดา และทรงหยิบคทาขึ้นมา ก่อนจะเสด็จไปตามโถงทางเดิน พระองค์ทรงเลี้ยวไปตามทางจนถึงห้องเสวยส่วนพระองค์ เป็นห้องผนังหินที่สร้างอย่างประณีต มีหลังคาโค้งสูงและหน้าต่างกระจกสี สว่างไสวด้วยแสงยามเช้า มหาดเล็กสองนายยืนคอยอยู่ที่ประตูที่เปิดอยู่ และอีกคนคอยอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะเสวย มันเป็นโต๊ะอาหารยาวเหยียดราวห้าสิบฟุต มีเก้าอี้หลายสิบตัววางเรียงอยู่ทั้งสองข้าง มหาดเล็กเลื่อนพระเก้าอี้ไม้โอ๊คโบราณออกให้ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ เป็นเก้าอี้ที่พระบิดาของพระองค์ทรงประทับมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ราชากาเร็ธทรงประทับนั่งและตระหนักว่าทรงเกลียดห้องนี้มากเพียงใด พระองค์ทรงจำได้ว่าถูกบังคับให้นั่งที่นี่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทั้งครอบครัวนั่งล้อมอยู่ที่นี่ ทรงถูกพระบิดาและพระมารดาตำหนิติเตียน ตอนนี้ทั้งห้องเงียบเหงาอย่างยิ่ง ไม่มีใครนอกจากพระองค์ ไม่มีพี่น้อง พ่อแม่หรือเพื่อนฝูง ไม่มีแม้แต่บรรดาที่ปรึกษา หลายวันที่ผ่านมาพระองค์ทรงแยกตัวจากทุกคน และตอนนี้ทรงเสวยอาหารค่ำเพียงลำพัง ราชากาเร็ธทรงพอใจให้เป็นเช่นนี้ มีหลายครั้งที่ทรงเห็นวิญญาณของพระบิดาอยู่ที่นี่ด้วย และพระองค์ทรงอับอายที่จะร้องโวยวายขึ้นมาต่อหน้าคนอื่น

 

ราชากาเร็ธทรงตักซุปมื้อเช้าขึ้นชิม แล้วทรงกระแทกฉลองพระหัตถ์ช้อนเงินลงในจานทันที

“ซุปนี่ร้อนไม่พอ!” พระองค์ทรงตะโกนขึ้น

ซุปนั้นร้อน แต่ไม่ร้อนมากอย่างที่ทรงโปรด ซึ่งราชากาเร็ธจะไม่ทนกับความผิดพลาดอีกอย่างรอบตัวพระองค์ มหาดเล็กรีบวิ่งเข้ามา

“ขออภัย ฝ่าบาท” มหาดเล็กทูล ถวายคำนับแล้วรีบเข้ามาหยิบซุป แต่ราชากาเร็ธทรงยกจานเสวยขึ้น แล้วสาดซุปร้อนนั้นใส่หน้ามหาดเล็ก

มหาดเล็กยกมือขึ้นกุมดวงตาพลางร้องโหยหวนเมื่อถูกลวกด้วยซุปร้อน ราชากาเร็ธทรงยกจานขึ้นสูงแล้วฟาดลงบนศีรษะของมหาดเล็ก

มหาดเล็กร้องออกมา พลางยกมือขึ้นกุมศีรษะโชกเลือด

“พามันออกไป!” ราชากาเร็ธทรงตะโกนสั่งมหาดเล็กอีกคน

พวกเขามองหน้ากันอย่างหวาดกลัว ก่อนจะทำตามรับสั่งอย่างลังเล

“ส่งมันไปที่คุกใต้ดิน!” ราชากาเร็ธตัรส

ขณะที่พระองค์ประทับนั่งลง พระวรกายสั่นเทิ้ม ทั้งห้องเหลือเพียงมหาดเล็กอีกคนที่เดินเข้ามาหาอย่างนอบน้อม

“ฝ่าบาท” เขาทูลอย่างเป็นกังวล

ราชากาเร็ธทอดพระเนตรเขาด้วยความกริ้ว เมื่อทรงมองไป พระราชาทรงเห็นพระบิดากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างออกไปไม่กี่ตัว ทรงมองมาที่พระองค์พร้อมด้วยรอยแย้มสรวลน่ากลัว ราชากาเร็ธทรงเมินไปทางอื่น

“ท่านลอร์ดที่พระองค์มีรับสั่งให้หา เดินทางมาเฝ้าแล้ว” มหาดเล็กทูล “ลอร์ดคัลติน จากจังหวัดเอสเซ็น เขารออยู่ด้านนอก”

ราชากาเร็ธทรงกระพริบพระเนตรหลายครั้ง และเริ่มเข้าพระทัยสิ่งที่มหาดเล็กทูล ลอร์ดคัลติน ใช่แล้ว ทรงจำได้แล้ว

“ให้เขาเข้ามาเลย” ราชากาเร็ธตรัสสั่ง

มหาดเล็กถวายคำนับและวิ่งออกไปจากห้อง เมื่อเขาเปิดประตู นักรบร่างใหญ่ท่าทางโหดร้ายก็เดินวางมาดเข้ามา เขามีผมยาวสีดำ ดวงตาเย็นชาสีดำ และเคราดำยาว สวมชุดเกราะเต็มยศพร้อมด้วยเสื้อคลุม เหน็บดาบยาวสองเล่มไว้ที่เข็มขัดทั้งสองข้าง และวางมือทั้งสองข้างไว้ที่ดาบราวกับพร้อมที่จะป้องกันหรือโจมตีอยู่ตลอดเวลา เขาเองก็ดูเหมือนจะกำลังโกรธเกรี้ยว แต่ราชากาเร็ธทรงรู้ว่าไม่ใช่เช่นั้น ลอร์ดคัลตินมักจะดูเป็นเช่นนั้น มาตั้งแต่สมัยของพระบิดาแล้ว

คัลตินเดินวางท่าเข้ามาหาราชากาเร็ธ แล้วยืนรออยู่ พระองค์ทรงผายพระหัตถ์ไปยังเก้าอี้ที่ว่างตัวหนึ่ง

“นั่งลงสิ” ราชากาเร็ธตรัส

“ข้าขอยืน” คัลตินทูลตอบห้วน ๆ

คัลตินทำหน้านิ่ว ราชากาเร็ธทรงดิ้นน้ำเสียงมีพลังของเขา และรู้ว่าลอร์ดคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เขาโหดร้าย และกระหายเลือด พร้อมที่จะฆ่าใครหรืออะไรก็ตามด้วยเหตุผลแม้เพียงเล็กน้อย เขาเป็นคนประเภทที่พระองค์ทรงต้องการให้มาอยู่ใกล้ ๆ

ราชากาเร็ธทรงแย้มสรวล พอพระทัยเป็นครั้งแรกของวันนี้

“ท่านรู้ไหมว่าข้าเรียกมาทำไม?” ราชากาเร็ธตรัสถาม

“ข้าพอจะเดาได้” คัลตินทูลตอบสั้น ๆ

“ข้าตัดสินใจที่จะเลื่อนตำแหน่งให้ท่าน” ราชากาเร็ธตรัส “ท่านจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นสูงกว่าทหารของพระราชา สูงกว่าอัศวินกองรบเงิน นับแต่นี้ไปท่านจะได้เป็นราชองครักษ์ส่วนตัวของข้า เป็นทหารเสือพระราชา ท่านและทหารห้าร้อยนายของท่านจะได้รับอาหารที่ดีที่สุด ที่พักชั้นยอดและหอเงินอันโอ่อ่า สิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่าง”

คัลตินลูบเคราของเขา

“แล้วถ้าข้าไม่ต้องการรับใช้พระองค์ล่ะ?” เขานิ่วหน้า ท้าทายพระองค์พลางกระชับดาบในมือแน่น

“ท่านรับใช้พระบิดาของข้า”

“แต่ท่านไม่ใช่พระบิดาของท่าน” เขาทูลตอบ

“ถูกต้อง” ราชากาเร็ธตรัส “แต่ข้าร่ำรวยกว่ามาก ข้าจ่ายให้ได้มากกว่า ข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกสิบเท่าจากที่พระบิดาทรงให้ท่าน ท่านและคนของท่านจะได้อยู่ในราชสำนัก ขึ้นตรงกับข้าเป็นการส่วนตัว จะไม่มีใครเหนือท่านอีก ท่านสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปยังจังหวัดของท่านได้มากกว่าที่ท่านจะคิดฝัน”

คัลตินยืนนั่ง พลางลูบเครา และในที่สุดก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ

“ยี่สิบเท่า” เขาทูล “แล้วข้าจะฆ่าทุกคนที่ท่านสั่ง เราจะปกป้องท่านด้วยชีวิต ไม่ว่าท่านจะสมควรได้รับหรือไม่ และเราจะฆ่าทุกคนที่เข้ามาใกล้ท่าน”

“ทุกคน” ราชากาเร็ธทรงย้ำ “ไม่ว่าจะเป็นทหารของพระราชา หรืออัศวินกองรบเงินก็ตาม หากข้าสั่งให้ท่านฆ่าพวกมัน ท่านจะต้องทำตาม”

คัลตินยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก

“ข้าไม่สนใจว่าจะต้องฆ่าใคร ตราบเท่านที่ค่าจ้างสูงพอ”

Sie haben die kostenlose Leseprobe beendet. Möchten Sie mehr lesen?