Kostenlos

อิกลู กระท่อมน้ำแข็ง

Text
Als gelesen kennzeichnen
อิกลู กระท่อมน้ำแข็ง
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

ลัทธิยิว อิงกลิอีซึ่ม ( Ingliism) เป็นหลักคำสอนของสลาฟที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์สลาฟ-อารยัน ซึ่งถือว่าโลกรอบตัวนั้นส่วนใหญ่เป็นพลังงานที่กระจายอยู่ในเวลาและพื้นที่นั้น ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าเส้นสมมติ (Vectorailly) นั้นมาจากแหล่งหลักแหล่งเดียวคือจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ในอดีตเผ่าสลาฟที่ศึกษาการคาดการณ์พลังงานของ อิงเกลีย (Inglia) ดั้งเดิมจึงเรียกตัวเองว่า อิงแกล้นส์ (Inglians) ดังนั้น เงื่อนไขทางพันธุกรรม โลกทัศน์แบบอิงกลิสติก (Inglistic) ของชาติพันธุ์รัสเซียของชาวสลาฟ ทำให้เมนเดเลเยฟสามารถสันนิษฐานได้โดยสัญชาตญาณว่าองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นศูนย์ควรมีอยู่ในธรรมชาติ และยังช่วยให้นักทฤษฎีชาวโซเวียตจำลองอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ทางวิทยาศาสตร์ในสหภาพโซเวียตได้อีกด้วย


จากผู้เขียน

ผู้อ่านที่รัก

เรื่องราวของ อิกลู"กระท่อมน้ำแข็ง"บันทึกไว้ในนิยายวิทยาศาสตร์เก่าแก่ของโซเวียตที่มีชื่อเสียงระดับโลก เรื่องอิกลูได้บอกเรื่องราวการผจญภัยอันแสนลึกลับที่เกิดขึ้นกับนักภูมิประเทศชาวโซเวียตในระหว่างการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทางตอนเหนือของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ตามแนวคิดและบันทึกของพ่อ เพื่ออุทิศให้กับเพื่อนผู้บุกเบิกตอนเหนือสหภาพโซเวียตทุกคนและอีกทั้งผู้อ่านที่หลากหลายด้วย

บทที่ 1 ความรอดที่น่าอัศจรรย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องนี้คือการตกอยู่ภายใต้การถูกสะกดจิต ทำให้ฉันลืมทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิงจนกระทั่งถึงตอนนี้ แต่ก็มีหลักฐานเพียงพอที่บอกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน ว่าแต่..เกิดอะไรขึ้น ที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่รู้และจำไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไรที่ความทรงจำของฉันหลุดหายไปอย่างไร้ร่องรอยถึงสองวัน ฉันต้องตกลงกับ มาฟเลติน บาเดรตินอวิช บาเดรตินอฟ ซึ่งเป็นพนักงานอาวุโสของแผนกภูมิประเทศ ว่าฉันนั่งอยู่ใต้หิมะซึ่งเป็นเหมือนถ้ำหิมะเล็ก ๆ ที่เราเรียกกันว่า "กระท่อมน้ำแข็ง" ตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

จิตใต้สำนึกเท่านั้นที่ทำให้ฉันอุ่นใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นวันที่ฉันมีประสบการณ์การผจญภัยที่มีอิทธิพลต่อชีวิตในอนาคตของฉันทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งคือได้เห็นพัฒนาการความสามารถที่แตกต่างของมนุษย์ อีกสิ่งหนึ่งก็คือความประหลาดใจ มันมาจากไหน แหล่งที่มาของพลังวิเศษของฉันซ่อนอยู่ที่ไหน ช่วงเวลานั้นฉันทำงานเป็นนักภูมิประเทศกับกลุ่มสำรวจธรณีฟิสิกส์ชื่อดังของ การสำรวจธรณีฟิสิกส์ไทมีร์ และอาศัยอยู่กับครอบครัวในอพาร์ตเมนต์แบบสองห้องในเมือง ดูดินกา ในเขตอาร์กติก และฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ในฤดูหนาวนั้น เราทำงานทางตะวันออกเฉียงเหนือของฐานของเราไปทางหมู่บ้านโวโลชันกา

ฉันจะไม่อธิบายรายละเอียดลักษณะเฉพาะของงานในทุ่งทุนดรา จะบอกเพียงคร่าว ๆ ว่ากลุ่มศึกษาเกี่ยวกับแผ่นดินไหวของเราซึ่งได้รับความช่วยเหลือในการระเบิดด้วยความถี่เรโซแนนซ์และอุปกรณ์พิเศษในการอ่านและรับข้อมูลเพื่อค้นหาที่เก็บน้ำมันและก๊าซใต้ดินในชั้นหินที่สะสมมานับล้านปี กองงานภูมิประเทศของฉันเป็นหน่วยเสริมของกลุ่มศึกษาเกี่ยวกับแผ่นดินไหวซึ่งมีความรับผิดชอบด้านการวางแนวถนน การติดตั้งแนวธรณีฟิสิกส์และการเล็งแนวพื้นที่ด้วยเครื่องมือ

 เวลาที่ยากที่สุดในการทำงานคือคืนขั้วโลก ยามพลบค่ำซึ่งเราเรียกจนติดเป็นนิสัยว่ากลางวันซึ่งไม่เอื้อต่อการทำงานในทางตอนเหนือซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่สุดขั้วทำให้การทำงานยากมาก ฉันหมายถึงคนงาน คนขับรถแทรคเตอร์ และแน่นอนรวมไปถึงนักสำรวจด้วย เราจำเป็นต้องใช้เวลาพลบค่ำสั้น ๆ นี้เมื่อสามารถมองเห็นและรีบวัดระยะทางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะก้าวกันอย่างรวดเร็วขนาดนี้โดยส่วนใหญ่ฉันก็ยังคงต้องทำงานในความมืดอยู่ดี

 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในคืนขั้วโลกที่มืดมิดวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ซึ่งเช้าวันนั้นลมตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มพัด ลมพัดส่งเสียงดังแต่ทัศนวิสัยยังอยู่ในเกณฑ์ดี ฉันสั่งให้ทุกคนไปทำงานและเราก็วางแผ่นข้อมูลเรื่องแผ่นดินไหวไว้เพื่อกั้นลมในที่โล่งเตียนโดยไม่มีพุ่มไม้แม้แต่พุ่มเดียวบนเนินเขาทุนดรา ที่ราบของยอดเนินเขาเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และก้อนกรวดซึ่งเกิดจากจากการกัดกร่อนของธารน้ำแข็งแหล่งสุดท้าย พายุหิมะได้พัดเอาหิมะปลิวไปจากยอดเขา

ตามการคำนวณของฉันสองสามวันหลังจากนี้ เราจะไปถึงเขตตอนเหนือของป่าอารีมาส การเดินทางที่นั่นจะช้าเพราะเราจำเป็นต้องเคลียเส้นทางสำหรับขนส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ใกล้ ๆ กับหลักไมล์ มีทุ่งทุนดราโล่ง ๆ อยู่รอบ ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเดินไปข้างหน้าทันทีและรถแทรกเตอร์ก็ลากบ้าน (CUB) หรือเรียกอีกอย่างว่าโมดูลที่พักซึ่งเคลื่อนตามพวกเขาไป ฉันเอาหลักฐานจากการตอกกล้องสำรวจครั้งแรกออกอย่างระมัดระวังหลังจากนั้นฉันก็เดินตามพวกเขาไป ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ฉันติดอยู่กับการย้ายกล้องสำรวจไปจุดถัดไป พวกเขาและรถแทรกเตอร์ที่ลากบ้าน (CUB) ไปข้างหน้ากันแล้ว ฉันยังไม่สามารถจบแบรนด์ถัดไปได้เลย แต่ทุกนาทีลมก็พัดแรงขึ้นและฉันก็เฝ้าดูลมกระโชกแรงนั้นด้วยความตื่นตระหนก

ลมพัดเอาหิมะทางตอนเหนือไปในทุ่งทุนดราเป็นเวลา 9 เดือนต่อปีซึ่งทำให้หิมะแข็งเหมือนเม็ดทรายเมื่อลมพัดมากระทบใบหน้าทำให้น้ำตาไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงลมดังหวีดหวิวพร้อมกับเสียงหอนในขากล้องดังขึ้นพร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดละอองน้ำสีเทาขนาดเล็ก ๆ หมุนวนเหนือพื้นผิวหิมะ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีชื่อเสียงและแพร่หลายในแถบขั้วโลก หลังจากที่หิมะหมุนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มโผล่สูงพ้นผิวน้ำจนถึงเลนส์กล้องสำรวจทำให้มองไม่เห็นจุดดำได้แม้แต่จุดเดียว สำหรับงานคุณภาพนั้น แสงสว่างจากหลอดไฟเล็ก ๆ ที่เกิดจากแบตเตอร์รี่ที่ทนต่อความเย็นจัดบนเสาภูมิประเทศซึ่งติดตั้งโดยนายบาเดรตินอฟที่เป็นคนงานอาวุโสนั้นไม่เพียงพอ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงมองเห็นเพียงหมอกสีเทาปกคลุมไปทั่ว

ฉันพึมพำในใจ พายุหิมะดำมืดกำลังมา! อากาศแย่จัง! ฉันต้องหยุดการทำงานเพื่อกลับบ้าน (CUB) ก่อนที่พายุจะพัดเอาหิมะขึ้นไปในอากาศปิดทางจนทำให้ไม่สามารถผ่านทะลุไปได้ ฉันไม่อยากติดอยู่ในกระท่อมน้ำแข็งอีก เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตฉันเคยนั่งอยู่ใต้หิมะในหุบเขามาแล้วนานกว่าสองวัน ด้วยความเย็นจนตัวสั่นเทาและเสื้อผ้าที่เปียกชื้น นอกจากนี้ยังต้องทำความสะอาดช่องระบายอากาศในหิมะอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ขาดอากาศหายใจ อีกทั้งยังต้องอดทนต่ออาการง่วงนอนอย่างสุดฤทธิ์ ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าการติดอยู่ใต้หิมะในกระท่อมน้ำแข็งนี้ครั้งเดียวก็เพียงพอสำหรับทั้งชีวิต

 ไม่กี่นาทีต่อมาฉันก็ต้องยอมแพ้ ดังนั้นฉันจึงปิดกล้องสำรวจด้วยฝาชนิดพิเศษและพับขากล้องไว้แล้วสะพายไว้บนบ่าอย่างปลอดภัยโดยจับสายรัดไว้บนไหล่ จากนั้นก็ใส่สมุดบัญชีรายวันไว้ในกระเป๋า

ผูกเท้าให้แน่นกับสกีและตามไปให้ทันกองทำงาน ฉันรู้สึกหงุดหงิดเพราะระยะเดินทางก่อนพายุหิมะเข้านั้นวัดแล้วก็เกือบ 2 ชั่วโมง ดังนั้นขณะนี้พวกนั้นทำการเคลียร์พื้นที่ไปไกลมากกว่าสามกิโลเมตรและตอนนี้พวกเขากำลังยืนรอฉันเฉย ๆ ข้างทะเลสาบน้ำแข็งตรงที่ปลายเส้นทางที่กำหนดไว้

 บางทีผู้อ่านเข้าใจอยู่แล้วว่าหิมะบนคาบสมุทรไทมีร์ (Taimyr) นั้นแตกต่างจากแผ่นดินใหญ่ หิมะที่นี่หนักและอัดแน่นด้วยน้ำหนักของตัวมันเองแล้วกลายเป็นหินหิมะ ทำให้พื้นผิวของทุ่งทุนดรากลายเป็นเปลือกแข็ง ๆ ขรุขระเหมือนกระดาษทรายทำให้สกีไม่ไป ในกองงานภูมิประเทศนั้นเราไม่ใช้สกีเหมือนนักกีฬาที่มีเสาสกี เพราะทุกอย่างที่ใช้สำหรับการทำงานต้องถือด้วยมือ เช่นเลื่อยมือสำหรับเลื่อย

ไม้ระแนง แบตเตอรี่และหลอดไฟสำหรับรั้ว

ทุกวันฉันเดินวัดระยะทางระหว่างจุดสำคัญของภูมิประเทศแต่ละจุดและจากนั้นก็วัดมุมแนวตั้งและแนวนอนตามข้อมูลของภูมิประเทศด้วยกล้องสำรวจแล้วก็บันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในสมุดบันทึกเฉพาะ เริ่มมืดแล้วฉันไถลตัวลงเนินหิมะไปตามทางของรถแทรกเตอร์ ลมหนาวพัดมาปะทะหน้าฉันอย่างจังอีกครั้ง ฉันต้องคลุมหน้าด้วยถุงมือหนา ๆ เพื่อให้อุ่น แน่นอนว่าฉันต้องเริ่มเช็คใบหน้าเพื่อไม่ให้เกิดอาการบวมเป็นน้ำเหลือง

 ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดต่อมาก็กลายเป็นเสียงคร่ำครวญแล้วก็ค่อย ๆ จางหายไปจนไม่ได้ยิน มันเหมือนกับเสียงร้องของเด็กสาวที่มาจากทางด้านขวา ฉันจึงหยุดนิ่ง แต่ก็เกิดความสงสัยว่ามีคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือเหมือนกับฉัน นี่คือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจสำรวจดู อาจจะมีคนต้องการความช่วยเหลือจากฉันจริง ๆ ก็ได้ ดังนั้นฉันจึงปีนขึ้นไปบนยอดเขาทางด้านขวา เล่นสกีหลบลมกระโชกแรงในหุบเขาที่ลาดชันลงไปรอบ ๆ กลุ่มของหินก้อนใหญ่ ๆ

 ที่ก้นหุบเขามีเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งจมอยู่ในกองหิมะ ฉันสังเกตเห็นทันทีว่าเธอแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองซึ่งเย็บจากขนกวางซึ่งเรียกว่าปืยซิค (Pyzhik) นอกจากนี้ที่เท้าของเธอยังมีรองเท้าสูงและแข็งแรงปักด้วยลูกปัดที่เรียกว่าอุนไตกัส (Untaykas) อย่างสวยงาม เด็กสาวคนนั้นสะอื้นเบา ๆ จากความเจ็บปวดแต่เมื่อเธอเห็นฉัน เธอสงบลงทันทีและดึงฉันเข้าไปหาเพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง

 ฉันถามเธอว่า "เกิดอะไรขึ้นกับเธอ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและครอบครัวเธออยู่ที่ไหน?" เธอตอบ

เบา ๆ ด้วยเสียงแหบแห้ง "โอ้พระเจ้า! ช่วยฉันด้วย ขณะที่ฉันขี่กวางอยู่นั้นเพื่อน ๆ ของคุณกระแทกไฟอย่างแรงทำให้มีประกายไฟสีแดงขึ้นบนท้องฟ้ากวางฉันตกใจกลัวจึงกระโจนหนีทำให้ฉันตกลงมาที่นี่ เท้าของฉันหักและเจ็บมาก" ฉันมองดูเด็กสาวอย่างผิวเผินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้คือ ประการที่หนึ่งเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ประการที่สอง ฉันรู้สึกฉงนไม่น้อยที่เธอคนนี้ไม่เคยเห็นสัญญาณการยิงจรวด

ประการที่สาม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอคือคนเดียวในโลกที่สามารถนั่งบนหลังกวางได้ ฉันละความคิดทั้งหมดไว้กับตัวเองและพูดขึ้นว่า "ฉันจะพาเธอไปที่บ้าน (CUB) ของเราเพราะที่กองงานของฉันสามารถเรียกเฮลิคอปเตอร์เพื่อพาเธอไปโรงพยาบาลได้"

ฉันบอกเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วก็ค่อย ๆ อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมพยายามที่จะไม่ทำให้เธอเจ็บ จากนั้นก็เหินไปกับสกีอย่างรวดเร็วแต่ทันทีที่ฉันหันหน้าไปทางรถแทรกเตอร์ เด็กผู้หญิงก็ท้วงขึ้นมาทันที "เราไม่ต้องการไปที่บ้านรถลากของคุณ ช่วยพาฉันไปที่เนินเขานั่น" ฉันทักท้วงด้วยความตกใจ "แต่บนเขานั่นไม่มีอะไรเลย มีแต่ก้อนหิน" ถึงกระนั้นเธอก็ยังยืนกรานว่า "เชื่อฉันเถอะ ที่นั่นมีหมอและโรงพยาบาลอยู่" ลมแรงขึ้นเหมือนพายุหิมะกำลังมาซึ่งรู้ได้ด้วยเสียงหอนที่ดังใกล้เข้ามา จึงไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ฉันตอบกลับไปว่า "ตกลง ฉันจะพาเธอไปที่เนินเขานั้น แต่ถ้าไม่มีอะไร เราจะต้องตามไปที่บ้าน (CUB) ให้ทัน นั่นคือเหตุผลเดียวที่ฉันหันหลังและลื่นไถลไปยังเนินเขาที่เธอบอก ซึ่งบางครั้งก็มองไม่เห็นเพราะเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยพายุหิมะ

ขาฉันสลับกันทำมุมพิเศษกดสกีไปที่เนินหิมะและยกร่างกายของเราขึ้นอย่างมั่นคง ดังนั้นในไม่ช้าเราก็มาถึงยอดเขาซึ่งมีที่ราบอันกว้างใหญ่ เราเห็นหินก้อนใหญ่สูงเสียดฟ้า ซึ่งรายล้อมไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่สูงกว่าเจ็ดฟุต เด็กผู้หญิงคนนั้นชี้ไปทางนั้นอย่างมั่นใจและพูดว่า "คุณผู้ชายช่วยพาฉันไปที่นั่นหน่อยเถอะ" แน่นอน ฉันพาเธอไปและค่อย ๆ วางเธอลงใกล้ ๆ ก้อนหินอย่างระมัดระวัง ฉันจับมือเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มเพราะลมที่กระโชกแรง ถึงตอนนี้ฉันก็แค่ยืนทรงตัวอยู่บนขาที่แข็งแรงและมือที่ว่างเปล่า เธอแตะที่ก้อนหินลึกลับนั้น แต่เกิดอะไรขึ้นต่อไป ทำให้ฉันสงสัยในสติของฉัน

 .ในขณะที่นิ้วของเธอสัมผัสไปที่พื้นผิวที่ผุกร่อนของก้อนหิน ครึ่งบนของก้อนหินถูกแยกออกจากครึ่งล่างและเลื่อนไปทางขวาและหยุดอยู่ในอากาศราวกับว่าไร้น้ำหนัก ฉันยืนประหลาดใจแต่เด็กผู้หญิงไม่มีแสดงท่าทีใด ๆ ออกมา เธอบอกกับฉันด้วยท่าทางเบื่อ ๆ ว่าเราต้องปืนขึ้นไปบนยอดนั้น "พระเจ้า ทำไมคุณยืนแข็งทื่อเหมือนเสา" "ยกฉันขึ้นไปก่อนแล้วคุณค่อยปีนขึ้นมา" เด็กผู้หญิงบอกอย่างนั้น ตอนนี้ฉันเริ่มตรวจสอบสีดำอย่างละเอียดมันเป็นพื้นผิวหินขัดมันด้วยซ้ำเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเจ็ดฟุต

 

เพราะด้วยความช็อก ฉันมีพลังขึ้นอย่างผิดปกติ ฉันถอดสกีออกแล้วอุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นอีกครั้งแล้วก็กระโดดขึ้นไปบนก้อนหินที่สูงเป็นเมตรได้อย่างง่ายดาย ด้วยหน้าที่ของฉันตอนนี้ ฉันยืนอยู่ตรงกลางก้อนหินและเห็นพายุหิมะโหมกระหน่ำรอบ ๆ ตัวเรา ถึงแม้ว่าที่นี่เป็นแท่นแบนราบแต่ก็สงบและเงียบเชียบอย่างสิ้นเชิงราวกับว่ามีกระจกกั้นไว้จากโลกภายนอก ทันใดนั้น ฉันก็สังเกตเห็นว่าขาของฉันเริ่มจมลงไปในสายหมอก เด็กผู้หญิงสังเกตเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าฉันจึงเตือนขึ้นว่า "คุณไม่ควรขยับและกลัว เพราะผู้ชายตัวใหญ่ต้องกล้า" หลังจากได้ยินเธอพูด ฉันคิดในใจว่าความกลัวไม่น่าเกี่ยวอะไรกับขนาดเสมอไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เนื่องจากเราจมอยู่ในหมอกสนิทแล้ว ดังนั้นฉันจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และปิดเปลือกตาให้แน่นไว้