Kostenlos

วั๊นซ์ กอน

Text
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 17

ไรล์ลี่สบถออกมาในลำคอขณะที่กำลังจะจอดรถข้างๆอาคารยาวที่มีดาดฟ้า ชายสามคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตของเอฟบีไอกำลังยืนอยู่ด้านนอก คุยอยู่กับตำรวจท้องที่หลายคน

“นี่มันดูไม่ค่อยดีเลย” ไรล์ลี่เอ่ย “เราน่าจะมาถึงก่อนพวกนั้นจะยกโขยงกันมา”

“ใช่ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย” บิลเห็นด้วย

พวกเขาได้รับการบอกเล่าว่าหญิงสาวรายหนึ่งถูกลักพาตัวจากด้านในคลินิคการแพทย์เล็กๆนี้ โดนจับไปเมื่อเช้าตรู่ของวันนี้เอง

“อย่างน้อยครั้งนี้เราก็มาถึงเร็วกว่าเดิม” บิลบอก “ไม่แน่ เราอาจจะมีโอกาสช่วยเธอออกมาอย่างปลอดภัยก็ได้”

ไรล์ลี่เห็นด้วยอย่างเงียบๆ ในคดีต่างๆที่เกิดก่อนหน้า ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าเหยื่อถูกจับไปที่ไหนและเมื่อไหร่ เหยื่อสาวเหล่านั้นอยู่ดีๆก็หายตัวไปและกลับมาโผล่อีกทีก็กลายเป็นศพไปแล้วโดยทิ้งสัญลักษณ์เป็นนัยยะสื่อถึงความคิดของฆาตกร

ไม่แน่ครั้งนี้อาจจะต่างไป เธอคิด

เธอโล่งอกที่มีคนเห็นเหตุการณ์มากพอที่จะโทรรายงานเหตุการณ์ร้ายกับ 911 ตำรวจท้องที่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง และพวกเขาก็ได้แจ้งไปที่เอฟบีไอ พวกเขาเดาเอาว่านี่เป็นการก่อเหตุในรูปแบบเดียวกัน

“มันก็ยังนำหน้าเราไปก้าวหนึ่งอยู่ดี” ไรล์ลี่พูดขึ้น “ถ้าเป็นมันจริงๆ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ฉันจะคาดว่ามันจะก่อเหตุชิงตัวใครเลย”

เธอเคยคิดว่าฆาตกรน่าจะต้องสะกดรอยตามเหยื่อจากโรงรถ ลานจอดรถ หรือ ลู่วิ่งจ็อกกิ้ง หรือแม้กระทั่งละแวกหมู่บ้านที่มีแสงไฟสลัวๆ

“ทำไมมาเลือกเอาคลินิคเพื่อชุมชน?” เธอถาม “แล้วทำไมก่อเหตุตอนกลางวันแสกๆ? ทำไมถึงกล้าเสี่ยงเข้าไปในตัวอาคาร?”

“แน่ละ ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกอะไรก็ได้” บิลเห็นด้วย “เริ่มปฏิบัติงานกันเถอะ”

ไรล์ลี่จอดรถไว้ให้ใกล้บริเวณที่ขึงเทปกั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เธอและบิลกำลังลงจากรถ เธอเห็นและจำผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่พิเศษ คาร์ล วาล์วเดอร์ ได้

“แย่ละ” ไรล์ลี่พูดเบาๆกับบิลขณะเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร

ไรล์ลี่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับ วาล์วเดอร์ – ชายหนุ่มหน้าเด็ก หน้าตกกระ ที่มีผมหยักศกสีทองแดง ทั้งไรล์ลี่และบิลไม่เคยมีใครทำคดีภายใต้บังคับบัญชาของเขามาก่อน แต่เขามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดี เจ้าหน้าที่คนอื่นๆเคยบอกว่าเขาเป็นเจ้านายประเภทที่แย่ที่สุด – คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และเพราะเหตุนั้นถึงยิ่งแน่วแน่ที่จะวางอำนาจบาตรใหญ่และใช้อำนาจเข้าข่ม

ที่ทำให้เรื่องยิ่งแย่ไปกว่านี้สำหรับไรล์ลี่และบิลคือ วาล์วเดอร์มีตำแหน่งสูงกว่าหัวหน้าทีมสายตรง เบรนท์ เมอเรดิธ ของพวกเขา ไรล์ลี่ไม่รู้ว่าวาล์วเดอร์อายุเท่าไหร่ แต่เธอแน่ใจว่าเขาขึ้นมาเป็นใหญ่ในเอฟบีไอได้เร็วเกินไปสำหรับตัวเขาเอง หรือสำหรับใครก็ตาม

เท่าที่ไรล์ลี่รู้ มันเป็นตัวอย่างชั้นดีของทฤษฎีปีเตอร์ทีเดียวล่ะ วาล์วเดอร์ได้ประสบความสำเร็จในการขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เกินความสามารถของตัวเองแล้ว

วาล์วเดอร์ก้าวเดินมาข้างหน้าเพื่อประจันหน้าไรล์ลี่และบิล

“เจ้าหน้าที่เพจและเจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์ ผมยินดีที่คุณมาถึงที่นี่ได้” เขากล่าว

ไม่มีพิธีรีตอง ไรล์ลี่ยิงคำถามตรงไปที่วาล์วเดอร์เพื่อถามคำถามที่เธออยากจะรู้

“เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นคนๆเดียวกันกับที่จับเหยื่อผู้หญิงอีกสามคนไป?”

“ด้วยสิ่งนี้ไง” วาล์วเดอร์บอก พร้อมกับชูถุงพิสูจน์หลักฐานที่ข้างในมีดอกกุหลาบทำจากผ้าราคาถูก “มันอยู่บนพื้นด้านใน”

“บ้าเอ๊ย” ไรล์ลี่สบถ

องค์กรนั้นคอยระมัดระวังไม่ไห้ข้อมูลรั่วไหลไปถึงสื่อ เกี่ยวกับรายละเอียดวิธีการจัดการเหยื่อของฆาตกร – การที่เขาทิ้งดอกกุหลาบไว้ในจุดเกิดเหตุในสถานที่ๆเขาจะจัดวางศพ นี่ไม่ใช่การกระทำเลียนแบบหรือจากฆาตกรรายใหม่

“คราวนี้เป็นใครกันล่ะ?” บิลถาม

“เธอชื่อ ซินดี้ แมคคินน่อน” วาล์วเดอร์บอก “เธอเป็นผู้ช่วยพยาบาล โดนจับไปตอนที่มาทำงานตอนเช้าเพื่อจัดความเรียบร้อยของคลินิค”

แล้ววาล์วเดอร์ก็แนะนำเจ้าหน้าที่อีกสองคน ผู้หญิงอายุน้อยคนหนึ่ง และ ผู้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง “คุณอาจจะเคยพบ เจ้าหน้าที่ เคร็ก หวง และเจ้าหน้าที่ เอมิลี่ เครตั้น พวกเขาจะมาร่วมทีมช่วยเหลือคุณในคดีนี้”

บิลพึมพำออกมาให้ได้ยิน “แม่ง อะไรกันว—”

ไรล์ลี่กระทุ้งไปที่ซี่โครงของบิลเพื่อบอกให้เขาเงียบ

“หวงและเครตั้นได้ฟังบรีฟคดีคร่าวๆแล้ว” วาล์วเดอร์เสริม “พวกเขารู้เรื่องคดีพอๆกับที่คุณรู้”

ไรล์ลี่ฉุนอยู่ในใจ เธอต้องการจะบอกวาล์วเดอร์ว่า ไม่ หวงกับเครตั้นไม่ได้รู้พอๆกับที่เธอรู้ ไม่ได้รู้มากเท่าบิลด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้พอๆกันโดยไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับสถานที่เกิดเหตุ หรือ โดยไม่ได้ใช้เวลานับไม่ถ้วนไปกับการส่องหาหลักฐาน พวกเขาไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับสิ่งที่บิลและเธอได้ใส่ลงไปแล้วในคดีนี้ แล้วเธอเองก็แน่ใจด้วยว่าเจ้าหน้าที่เด็กสองคนนี้ยังไม่เคยลองมองภาพผ่านความคิดฆาตกรเพื่อจะได้รับรู้และเข้าใจประสบการณ์ของฆาตกร

ไรล์ลี่สูดหายใจเข้าลึกและระงับความโกรธ

“ด้วยความเคารพนะคะท่าน” เธอกล่าว “เจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์และดิฉันเราเข้าใจคดีเป็นอย่างดีและเราก็ต้องรีบทำงานอย่างเร็วด้วย ความช่วยเหลือพิเศษ…มันไม่ได้ช่วยอะไร” เธอเกือบจะพูดว่าความช่วยเหลือพิเศษมันจะยิ่งทำให้ช้าลงไปอีก แต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้ทัน ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดดูเบาเด็กๆ

ไรล์ลี่มองเห็นรอยยิ้มหยันบนหน้าอ่อนเยาว์ของวาล์วเดอร์

“ด้วยความเคารพ เจ้าหน้าที่เพจ” เขาตอบกลับมา “ท่านวุฒิสมาชิกนิวโบรไม่เห็นด้วย”

หัวใจเธอหล่นตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไรล์ลี่จำการพูดคุยกับวุฒิสมาชิกได้ และบางอย่างที่เขาบอกไว้ “คุณอาจจะไม่รู้ แต่ผมมีคนรู้จักสนิทสนมในตำแหน่งระดับสูงอยู่หลายคนในองค์กรของคุณ”

แน่นอน วาล์วเดอร์ต้องเป็นหนึ่งในพวก “คนรู้จักสนิทสนม”

วาล์วเดอร์เชิดคางขึ้นและพูดด้วยอำนาจที่หยิบยืมเขามา “ท่านวุฒิสมาชิกบอกว่าคุณมีปัญหาในการทำความเข้าใจกับความสำคัญในภาพรวมของคดีนี้”

“ดิฉันเกรงว่าท่านวุฒิสมาชิกจะปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล” ไรล์ลี่กล่าว “ฉันเข้าใจและเห็นใจนะคะ ท่านโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก จึงคิดว่าการฆาตกรรมของบุตรสาวนั้นมันเกี่ยวพันกับการเมืองหรือเป็นเรื่องส่วนตัวหรือทั้งคู่ ซึ่งจริงๆมันเห็นชัดอยู่แล้วว่าไม่ใช่”

วาล์วเดอร์หรี่ตามองอย่างเยาะๆ

“มันเห็นชัดตรงไหน” เขาบอก “มันเห็นชัดสำหรับผมว่าท่านพูดถูก”

ไรล์ลี่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“ท่านคะ บุตรสาวของท่านวุฒิสมาชิกเป็นเหยื่อรายที่สามจากตอนนี้ที่เพิ่มเป็นสี่รายแล้วนะคะ” เธอแย้ง “ระยะเวลาของการก่อเหตุมันลากยาวมาถึงสองปีกว่า มันเป็นเหตุสุดวิสัยที่ลูกสาวของท่านต้องมากลายเป็นหนึ่งในบรรดาเหยื่อ”

“ผมไม่คิดแบบนั้น” เขาแย้งกลับ “และเจ้าหน้าที่หวงกับเจ้าหน้าที่เครตั้นก็ไม่คิดอย่างนั้นเช่นกัน”

ราวกับนัดไว้ เจ้าหน้าที่ เอมิลี่ เครตั้น แทรกขึ้น

“คุณไม่รู้สึกเหรอว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก?” เธอร่วมวง “เช่นว่า บางครั้งผู้กระทำผิดจะจัดฉากการสังหารเหยื่อรายหนึ่งก่อนจะลงมือฆาตกรรมเหยื่อที่ตั้งใจเอาชีวิตจริงๆ เพื่อให้มันดูเหมือนเป็นการลงมือต่อเนื่องและไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว”

“การลักพาตัวครั้งล่าสุดนี้อาจมีจุดประสงค์แบบเดียวกันก็ได้” เจ้าหน้าที่ เคร็ก หวง เสริมเข้ามา “เหยื่อล่อชิ้นสุดท้าย”

ไรล์ลี่คุมตัวเองไม่ได้ กลอกตาไปกับความอ่อนต่อโลกของเด็กพวกนี้

“นั่นมันเป็นความคิดที่เก่ามากแล้ว” เธอตอบ “เรื่องในนิยาย มันไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตจริง”

“ยังไงก็ช่าง” วาล์วเดอร์พูดด้วยเสียงวางอำนาจ “มันเกิดขึ้นแล้วคราวนี้”

“เราไม่มีเวลาจะมาเสียกับเรื่องพวกนี้” ไรล์ลี่สะบัด หมดสิ้นความอดทน “เรามีพยานบ้างรึเปล่า?”

“มีอยู่หนึ่งคน” วาล์วเดอร์ตอบ “เกรต้า เทโดรว์โทรแจ้ง 911 แต่จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้เห็นอะไรมากมาย เธอนั่งอยู่ด้านใน พนักงานต้อนรับก็อยู่ด้านในเหมือนกัน แต่เธอไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริง ตอนที่เธอมาถึงตอนแปดโมงเช้า ตำรวจมาถึงที่นี่แล้ว”

ผ่านเข้าไปในประตูแก้วของคลินิค ไรล์ลี่มองเห็นผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ในห้องนั่งรอ คนหนึ่งรูปร่างผอมอยู่ในชุดวิ่งออกกำลังกาย ถือเชือกจูงเจ้าตูบพันธุ์ค็อกเกอร์สเปเนียลอยู่ข้างๆ อีกคนหนึ่งโครงร่างใหญ่ วัยกลางคน หน้าตาออกไปทางฮิสแปนิก

“ท่านได้สอบสวนคุณ เทโดรว์ แล้วรึยังคะ?” ไรล์ลี่ถามวาล์วเดอร์

“เธอสะเทือนขวัญมากเกินกว่าจะให้ปากคำ” วาล์วเดอร์ตอบ “เราจะนำตัวเธอกลับไปที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมด้วย”

ครั้งนี้ไรล์ลี่อดกลอกตาไปมาไม่ได้ ทำไมจะต้องทำให้พยานที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่รู้สึกเหมือนเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย จะทำกร่างทำไม อย่างกับนั่นจะไม่ทำให้เธอสะเทือนขวัญไปมากกว่านี้?

ไม่สนใจมือไม้ที่โบกไม่ให้เธอเข้าของวาล์วเดอร์ เธอผลักประตูผลัวะเปิดออกและเดินอาดๆผ่านเข้าไปตรงทางเข้า

บิลตามเธอเข้ามา แต่เขาปล่อยหน้าที่สอบสวนให้เป็นของไรล์ลี่ ขณะที่เขาไปตรวจสอบห้องทำงานที่เชื่อมต่อกัน พร้อมไปสอดส่องดูห้องนั่งรอ

ผู้หญิงคนที่อยู่กับเจ้าตูบมองไรล์ลี่อย่างหวั่นๆ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” เกรต้า เทโดรว์ ถาม “ฉันพร้อมจะให้ปากคำแล้ว แต่ไม่มีใครถามอะไรฉันเลย ทำไมฉันถึงยังกลับบ้านไม่ได้?”

ไรล์ลี่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเธอและลูบมือเธอปลอบ

“คุณจะได้กลับบ้านแน่ค่ะ คุณเทโดรว์ ไม่นานหรอก” เธอบอก “ดิฉัน เจ้าหน้าที่เพจ และฉันจะสอบปากคำคุณนิดหน่อยในตอนนี้”

เกรต้า เทโดรว์ พยักหน้าสั่นๆ เจ้าตูบเพียงแต่นอนอยู่บนพื้นข้างๆมองขึ้นมาหาไรล์ลี่อย่างเป็นมิตร

“หมาน่ารักนะคะ” ไรล์ลี่บอก “มารยาทดีมาก มันอายุเท่าไหร่คะ เป็นตัวผู้ – หรือตัวเมีย?”

“ตัวผู้ค่ะ ชื่อ โทบี้ อายุห้าขวบ”

ไรล์ลี่ยื่นมือออกไปหาเจ้าตูบช้าๆ เมื่อเห็นท่าทางเหมือนจะอนุญาตของมัน เธอจึงเอามือลูบหัวมันเบาๆ

หญิงสาวพยักหน้าเป็นคำขอบคุณ ไรล์ลี่หยิบดินสอและสมุดโน๊ตออกมา

“ตอนนี้ก็ค่อยๆนะคะ ไม่ต้องรีบ” ไรล์ลี่เอ่ย “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง พยายามนึกให้ได้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้”

หญิงสาวพูดขึ้นอย่างช้าๆและตะกุกตะกัก

“ฉันพาโทบี้มาเดินเล่น” เธอชี้ไปด้านนอก “เรากำลังเลี้ยวมุมเข้ามาหลังรั้วต้นไม้เตี้ยๆ ตรงด้านนั้น มองเข้ามาก็เห็นคลินิค ฉันรู้สึกว่าได้ยินอะไรซักอย่าง เลยมองไปทางนั้น มีผู้หญิงคนนึงอยู่ที่ประตูคลินิค เธอกำลังทุบประตูแก้ว ฉันคิดว่าเห็นเธอโดนอุดปาก แล้วก็มีใครบางคนมาดึงเธอไปข้างหลังหายออกไปจากระยะสายตา”

ไรล์ลี่ลูบมือหญิงสาวอีกครั้ง

“คุณทำได้ดีมากค่ะ คุณเทโดรว์” เธอกล่าว “คุณเห็นหน้าคนร้ายบ้างมั้ยคะ”

หญิงสาวพยายามนึกอย่างหนัก

“ฉันไม่เห็นหน้าเขา” เธอตอบ “ฉันมองไม่เห็นหน้าเขา มันมีไฟเปิดอยู่ในคลินิค แต่….”

ไรล์ลี่เห็นภาพความทรงจำแล่นผ่านในหน้าของหญิงสาว

“อ้อ” เธอสะดุด “เขาสวมหน้ากากสกีสีมืดๆ”

“ทำได้ดีมากค่ะ แล้วเห็นอะไรอีกคะ”

หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย

“ฉันไม่ได้หยุดคิด ฉันดึงโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้ง 911 ต้องรอสายนานมาก กว่าจะมีคนมารับสาย ฉันกำลังพูดสายกับโอเปอเรเตอร์แล้วก็มีรถขนของวิ่งผ่าออกมาจากด้านหลังอาคาร ยางล้อครูดไปกับพื้นขณะกำลังจะออกจากลานจอดรถ มันออกมาแล้วเลี้ยวซ้าย”

ไรล์ลี่จดโน๊ตอย่างรัว เธอเห็นแล้วว่าวาล์วเดอร์กับสมุนเด็กน้อยสองคนเดินเข้ามาในห้องและยืนอยู่ตรงโน้น แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ

 

“เป็นรถขนของแบบไหนคะ” เธอถาม

คิ้วของหญิงสาวผูกเป็นโบว์ “เป็นรถกระบะ ฉันคิดว่านะ อืมใช่ ถูกแล้ว ดูเก่ามาก – อาจจะเป็นรุ่นตั้งแต่ยุคเก้าสิบปลายๆ มันสกปรกมากด้วย แต่ฉันคิดว่ามันเป็นสีน้ำเงินเข้ม หรือสีกรมท่า แล้วก็มีอะไรอยู่บนหลังคารถ เหมือนแคมเปอร์แต่ไม่ใช่แคมเปอร์ เหมือนตะแกรงอลูมิเนียมที่มีช่อง”

“ประทุนเหรอ?” ไรล์ลี่ลองเสนอ

หญิงสาวพยักหน้า “ฉันคิดว่ามันคงมีชื่อเรียกแบบนั้น”

ไรล์ลี่นั้นพอใจและประทับใจในความจำของหญิงสาวมาก

“แล้วเลขทะเบียนรถล่ะคะ” ไรล์ลี่ถาม

หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย

“ฉัน – ฉันมองไม่ทัน” เธอตอบ น้ำเสียงผิดหวังกับตัวเอง

“ไม่เห็นแม้แต่ตัวอักษรเดียว หรือ เลขเดียวเหรอคะ” ไรล์ลี่ถามอีก

“ฉันขอโทษค่ะ แต่ฉันไม่เห็นจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันพลาดไปได้ยังไง”

วาล์วเดอร์ก้มต่ำลงมากระซิบเสียงเข้มที่ข้างหูไรล์ลี่

“เราต้องเอาตัวเธอไปหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรม” เขาบอก

เขาดึงตัวเองกลับไปเล็กน้อยขณะที่ไรล์ลี่ลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณค่ะ คุณเทโดรว์” ไรล์ลี่บอก “ตอนนี้คงมีเพียงเท่านี้ค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอที่อยู่เบอร์ติดต่อไว้รึยังคะ”

หญิงสาวพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปพักผ่อนนะคะ” ไรล์ลี่พูดกับเธอ “เราจะติดต่อไปเร็วๆนี้ค่ะ”

หญิงสาวจูงเจ้าตูบออกไปจากคลินิคเพื่อกลับบ้าน วาล์วเดอร์ดูพร้อมจะระเบิดด้วยความโกรธและไม่ได้ดั่งใจ

“คุณกำลังทำบ้าอะไร” เขาออกคำสั่ง “ผมบอกว่าต้องเอาตัวเธอไปหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมไง”

ไรล์ลี่ยักไหล่ “ฉันนึกไม่ออกเลยว่าทำไมเราถึงต้องทำอย่างนั้น” เธอบอก “เราต้องเดินหน้าคดีนี้ต่อไปแล้วเธอคนนั้นก็บอกเราหมดทุกอย่างเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว”

“ผมต้องการให้หมอสะกดจิตเธอ ช่วยให้เธอจำทะเบียนรถได้ มันต้องอยู่ในหัวสมองเธอตรงไหนซักแห่ง”

“เจ้าหน้าที่วาล์วเดอร์” ไรล์ลี่พูดขึ้น พยายามไม่ให้เสียงออกอาการหมดความอดทนตามที่เธอรู้สึก “เกรต้า เทโดรว์ เป็นหนึ่งในพยานที่ช่างสังเกตที่สุดที่ฉันเคยสอบปากคำในช่วงที่ผ่านมายาวนานนี้ เธอบอกว่าเธอไม่รู้ว่าเธอพลาดไปได้ยังไง พูดมาจากคนที่มีความจำดีมากอย่างเธอ มันมีความหมายได้อยู่อย่างเดียว”

เธอหยุดพูดไปซักพักอย่างท้าทายให้วาล์วเดอร์ต้องเดาว่า “อย่างเดียว” นั้นคืออะไร เธอบอกได้จากหน้าตาอันว่างเปล่าของเขาเลยว่าเขาไม่มีไอเดียอะไรเลย

“มันไม่มีเลขทะเบียนจะให้เห็น” เธอพูดต่อในที่สุด “ถ้าไม่ใช่คนร้ายเอามันออก มันก็ต้องสกปรกเลอะซะจนอ่านไม่ออก สิ่งที่เธอเห็นคือพื้นที่ว่างเปล่าตรงบริเวณที่ควรจะมีทะเบียนรถ หากมีทะเบียนรถอยู่ตรงนั้นจริง ผู้หญิงคนนั้นคงได้มองเห็นอย่างน้อยก็เศษเสี้ยวหนึ่งของมัน”

บิลแปร้นเสียงทางจมูกอย่างชื่นชม ไรล์ลี่อยากจะเข้าไปปิดปากเขา แต่นั่นก็คงยิ่งทำให้เรื่องแย่ เธอตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย

“ญาติของเหยื่อได้รับการติดต่อหรือยังคะ” เธอถามวาล์วเดอร์

เขาพยักหน้า “สามีของเธอมาที่นี่แป๊บนึง แต่เขารับไม่ได้ เราเลยส่งเขากลับบ้าน เขาอยู่ถัดไปไม่กี่บล็อค ผมจะส่งเจ้าหน้าที่หวง กับ เจ้าหน้าที่เครตั้น ไปสอบสวนเขาเอง”

เจ้าหน้าที่อายุน้อยทั้งสองยืนแยกตัวออกไปคุยอะไรกันอย่างกุลีกุจอมาซักพักแล้ว พวกเขาหันมาทางไรล์ลี่ บิล และ วาล์วเดอร์ หน้าตาดูพอใจกับผลงานมาก

“เอมิลี่ – เอ้ย เจ้าหน้าที่เครตั้นกับผมเราคิดออกแล้ว” หวงพูดขึ้น “มันไม่มีร่องรอยของการงัดแงะ ไม่มีอะไรบ่งถึงการใช้กำลังเข้าไป นั่นก็หมายถึงไอ้โรคจิตนั่นมันรู้จักคนใน พูดก็คือ เขารู้จักคนที่ทำงานในคลินิค เขาอาจจะทำงานอยู่ที่นี่เองก็เป็นได้”

“เขามีโอกาสได้กุญแจมา” เครตั้นเสริมทัพ “อาจจะขโมยมา หรืออาจจะยืมมาแล้วเอาไปปั๊มกุญแจใหม่ อะไรทำนองนั้น และเขารู้รหัสโค้ดปิดสัญญาณเตือน เขาเดินเข้าเดินออกได้โดยที่ไม่ทำให้สัญญาณมันหวีดขึ้นมา เราจะสอบสวนบรรดาสต๊าฟโดยมีข้อสันนิษฐานนี้เป็นแนวทาง

“และเราก็รู้ว่าควรมุ่งประเด็นไปที่ใคร” หวงพูดขึ้น “คนที่มีความอาฆาตหรือความแค้นกับท่านวุฒิสมาชิกนิวโบร”

ไรล์ลี่ระงับอารมณ์โกรธ สองคนนี้กำลังด่วนสรุปอะไรที่ยังไม่มีหลักฐาน แน่นอนพวกเขาอาจจะถูก แต่เราลืมมองอะไรไปรึเปล่า? เธอมองไปรอบห้องนั่งรอของคลินิคและทางเดินที่เชื่อมต่อและพบความเป็นไปได้อันใหม่ในหัว เธอหันไปทางพนักงานต้อนรับเชื้อสายฮิสแปนิก

“ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิง” เธอพูดกับหญิงวัยกลางคนเป็นภาษาสเปน “ห้องเก็บเวชภัณฑ์อยู่ตรงไหนคะ?”

“ตรงนั้น” เธอตอบกลับเป็นภาษาสเปน ชี้มือไปทางประตูตรงทางเดิน

ไรล์ลี่เดินไปที่ประตูและเปิดออก เธอมองเข้าไปข้างในแล้วหันกลับมาบอกวาล์วเดอร์ว่า “ดิฉันสามารถบอกท่านได้เลยว่ามันเข้ามาภายในอาคารได้อย่างไร มันเข้ามาทางนี้”

วาล์วเดอร์ดูไม่สบอารมณ์ ในทางตรงกันข้าม หน้าของบิลบอกทุกอารมณ์ยกเว้นความหงุดหงิด – จะพูดให้ตรงก็คือ เขาดูยินดีมาก ไรล์ลี่รู้ว่าบิลก็ไม่ชอบวาล์วเดอร์มากพอๆกับเธอ เขาอยากจะเห็นวาล์วเดอร์โดนสอนมวยในการสืบคดีดูสักครั้ง

เจ้าหน้าที่อ่อนประสบการณ์อีกสองคนยืนจ้องไปที่ประตูตรงทางเดินที่บัดนี้เปิดออก แล้วหันกลับมาทางไรล์ลี่

“ดิฉันไม่เข้าใจ” เจ้าหน้าที่เอมิลี่ เครตั้น บ่นอุบ

“มันก็แค่ตู้เก็บของ” เคร็ก หวง เสริมเข้ามา

“ดูกล่องด้านหลังพวกนั้นสิ” ไรล์ลี่บอก “อย่าแตะต้องอะไรนะ”

บิลกับวาล์วเดอร์เข้าไปร่วมวงกับกลุ่ม เพื่อจะดูภายในตู้เก็บซัพพลายขนาดใหญ่ ทั้งกระดาษและผ้าพันเคล็ดถูกเก็บไว้บนชั้นวางแบบกว้าง เสื้อผ้าของแพทย์ถูกตั้งรวมกันอยู่มุมหนึ่ง แต่กล่องใหญ่หลายใบที่วางอยู่บนพื้นนั้นดูแปลกที่ แม้ว่าทุกอย่างในตู้นี้จะถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่กล่องพวกนั้นวางอยู่ในมุมแปลกๆและมีพื้นที่ว่างเหลือให้เห็นอยู่ด้านหลังกล่อง

“กล่องพวกนี้ถูกดันออกมาจากกำแพงด้านหลัง” บิลคอมเม้นท์ “พื้นที่สามารถให้คนแอบอยู่ด้านหลังได้อย่างสบายๆ”

“ไปตามทีมพิสูจน์หลักฐานมานี่” วาล์วเดอร์สั่งเสียงสะบัดกับเจ้าหน้าที่เด็กน้อยทั้งสอง แล้วเขาจึงถามไรล์ลี่ “คุณมีทฤษฎีว่ายังไง?”

สมองของเธอประมวลภาพเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว เธอเริ่มต่อจิ๊กซอว์ทีละตัว

“เขามาถึงที่คลินิคเมื่อวานนี้” เธอเริ่ม “น่าจะตอนบ่ายๆ ช่วงที่คลินิคกำลังวุ่นวายเป็นพิเศษ ท่ามกลางความพลุกพล่านของคนไข้ เขาสอบถามเรื่องง่ายๆบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ อาจจะเป็นการวัดความดันเลือด และ เธอ ก็อาจจะเป็นนางพยาบาลที่วัดความดันเลือดให้กับเขา – ซินดี้ แมคคินน่อน ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าสะกดรอยตาม ผู้หญิงที่เขามาเพื่อลักพาตัว เขาน่าจะสนุกเลยล่ะ”

“คุณก็ไม่สามารถจะแน่ใจได้อยู่ดี” วาล์วเดอร์บอก

“ไม่หรอก” ไรล์ลี่เห็นด้วย “และแน่นอนเขาคงไม่บอกชื่อจริง ให้คนไปตรวจสอบบันทึกคลินิคว่าเธอได้ให้บริการใครที่สต๊าฟคนอื่นไม่คุ้นหน้าบ้างรึเปล่า อันที่จริงเราควรจะตรวจสอบคนไข้ทุกคนที่มาใช้บริการที่นี่เมื่อวานนี้”

การทำอย่างนั้นมันใช้เวลานาน ไรล์ลี่รู้ดี แต่พวกเขาก็ต้องตรวจสอบทุกความเป็นไปได้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องมีคนหยุดการก่อเหตุของชายผู้นี้

“เขามาที่นี่” ไรล์ลี่พูดต่อ “พูดคุยกับคนไข้รายอื่นๆ ไม่แน่อาจมีใครจำอะไรประหลาดๆได้ ขณะที่ไม่มีคนสนใจ เขาก็จัดการหาวิธีเข้าไปในห้องเก็บซัพพลายนี้”

“มันไม่ใช่ห้องเก็บยาแล้วผมก็ไม่เห็นว่าจะมีของมีค่าอะไรพอให้ขโมย” บิลเสริม “ดังนั้น มันถึงไม่มีคนคอยเฝ้าจับตาดูอย่างระมัดระวัง”

“เขาหดตัวเข้าไปในพื้นที่แคบใต้ชั้นล่างสุดของชั้นวางของ แอบอยู่หลังกล่องพวกนั้น” ไรล์ลี่บรรยายต่อ “พวกสต๊าฟไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น คลินิคปิดตามเวลาปกติและทุกคนก็กลับบ้านโดยไม่มีใครสังเกตอะไร หลังจากแน่ใจว่าทุกคนกลับไปหมดแล้ว ไอ้โรคจิตก็ผลักกล่องออก คลานออกมา และทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน เขารออยู่ที่นี่ทั้งคืน ถ้าให้ฉันเดา มันคงนอนหลับสบาย”

ทีมพิสูจน์หลักฐานเดินเข้ามา เจ้าหน้าที่ขยับเปิดทางให้พวกทีมพิสูจน์ทำหน้าที่หาเส้นผม, ลายนิ้วมือ, หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถตรวจหาดีเอ็นเอหรือหลักฐานอื่นได้

“คุณอาจพูดถูก” วาล์วเดอร์บ่นพึมพำเบาๆ “เราต้องตามไปเช็คทุกที่ที่เขาอาจจะเดินไปในช่วงกลางคืน นั่นหมายถึงทุกบริเวณ”

“มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด” ไรล์ลี่บอก “ซึ่งปกติก็เป็นวิธีที่ดีสุดเช่นกัน”

เธอสวมถุงมือพลาสติกเดินลงไปตรงทางเดิน มองเข้าไปดูทุกห้อง ห้องหนึ่งเป็นมุมกาแฟของสต๊าฟ มีโซฟาดูนุ่มน่านั่ง

“ที่นี่เป็นที่นอนของเขา” เธอพูดด้วยความรู้สึกมั่นใจ

วาล์วเดอร์มองดูภายใน “ทุกคน อยู่ห่างๆห้องนี้จนกว่าทีมพิสูจน์จะตรวจสอบเสร็จ” เขาพูดขึ้น พยายามอย่างมากที่สุดให้เสียงฟังดูเหมือนเชี่ยวชาญ

ไรล์ลี่เดินกลับมาที่ห้องนั่งรอ “เขามาอยู่บริเวณนี้แล้วตอน ซินดี้ แมคคินน่อน มาถึงเมื่อเช้า ตามเวลาที่กะไว้ แล้วก็คว้าตัวเธอไว้”

ไรล์ลี่ชี้ไปที่สุดทางเดิน

“แล้วเขาก็ลากเธอออกไปตรงทางออกด้านหลัง เขาเอารถกระบะมาจอดรอไว้อยู่แล้ว”

ไรล์ลี่หลับตาลงครู่หนึ่ง เธอแทบจะเหมือนมองเห็นเขาในความคิด ร่างเป็นเงาดำที่เธอมองยังไงก็เห็นไม่ชัด ถ้าเขาดูโดดเด่นก็ต้องมีคนสังเกตเห็นแล้ว แสดงว่าภายนอกเขาดูธรรมดาทั่วไป ไม่อ้วน ไม่เตี้ยมากไม่สูงมาก ไม่มีทรงผมประหลาดๆ ไม่มีรอยสักหรือรอยทำสีผม เขาน่าจะสวมเสื้อผ้าที่ดูกำลังดี แบบที่ระบุไม่ได้ว่าทำอาชีพอะไร ชุดลำลองธรรมดา เธอคิดว่าแบบนั้นน่าจะดูเป็นธรรมชาติ น่าจะเป็นสไตล์เสื้อผ้าที่ใส่ประจำ

“เขามีความเกี่ยวข้องยังไงกับเหยื่อผู้หญิงพวกนี้?” เธอพึมพึมเบาๆ “อาการโกรธเกรี้ยวแบบนี้มาจากไหน?”

“เดี๋ยวเราก็รู้” บิลบอกอย่างแน่วแน่

วาล์วเดอร์นั้นปิดปากเงียบสนิทไปแล้วตอนนี้ ไรล์ลี่รู้เหตุผลว่าทำไม ทฤษฎีสุดประณีตเกี่ยวกับเรื่องผู้ต้องหามีคอนเน็คชั่นกับคนใน ตอนนี้ดูช่างน่าขันเสียเหลือเกิน เมื่อไรล์ลี่อ้าปากพูดอีกครั้ง เธอกล่าวในน้ำเสียงเกือบๆจะให้กำลังใจว่า

“เจ้าหน้าที่วาล์วเดอร์ ดิฉันรู้สึกขอบคุณความกระตือรือร้นของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนของท่าน” เธอกล่าว “พวกเขายังต้องเรียนรู้ และวันหนึ่งพวกเขาก็จะเก่งได้เอง ดิฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ แต่ดิฉันก็ยังคิดว่าท่านควรจะปล่อยการสอบสวนสามีของเหยื่อให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์และดิฉัน”

วาล์วเดอร์ถอนหายใจและพยักหน้าให้เธอน้อยๆแทบสังเกตไม่เห็น

ไม่ต้องพูดอะไรอีก ไรล์ลี่และบิลกลับออกไปจากที่เกิดเหตุ เธอมีคำถามสำคัญหลายอย่างจะถามสามีของเหยื่อนั่นเอง

บทที่ 18

เธอขับรถไปตามที่อยู่ที่พนักงานต้อนรับของคลินิคให้มา ไรล์ลี่รู้สึกถึงความไม่ชอบเดิมๆที่จะต้องไปสอบปากคำครอบครัว ภรรยาหรือสามีของเหยื่อ เธอสัมผัสได้ว่าครั้งนี้มันจะแย่ยิ่งกว่าทุกครั้ง แต่การลักพาตัวยังเพิ่งเกิดสดๆร้อนๆอยู่

“ไม่แน่ คราวนี้ เราอาจจะหาเธอพบก่อนมันจะลงมือสังหาร” เธอพูดขึ้น

“ถ้าทีมพิสูจน์หลักฐานสามารถหาหลักฐานอะไรเกี่ยวกับมันได้” บิลตอบ

“ไม่รู้ทำไม ฉันมีความรู้สึกว่าชื่อของมันไม่น่าจะอยู่ในสารบบไหนเลย” ภาพที่ไรล์ลี่ร่างเค้าโครงขึ้นในหัวนั้นไม่ใช่ภาพของผู้ต้องหาทั่วไป เหตุที่เกิดนี้มันดูจะมาจากมุมส่วนตัวของคนร้ายแต่เธอก็ตอบไม่ได้ว่าอะไร เธอต้องหาคำตอบได้แน่ เธอมั่นใจ แต่เธอจำเป็นต้องหาคำตอบได้เร็วพอที่จะหยุดความโหดร้ายน่าเวทนาที่ซินดี้กำลังต้องเจอในขณะนี้ ไม่มีใครสมควรต้องมาทนความเจ็บปวดจากคมมีดนั้น…หรือความมืดมิดนั้น…หรือแสงไฟแสบตาจากคบเพลิงนั่น…

“ไรล์ลี่” บิลเรียกขึ้นเสียงเฉียบ “นั่นไง อยู่ตรงนั้น”

ไรล์ลี่โดนฉุดกลับมาสู่ปัจจุบัน เธอจอดรถตรงทางเดินเท้าแล้วมองไปรอบๆบริเวณย่านนั้น ค่อนข้างซ่อมซ่อแต่ก็ดูอบอุ่นและเชื้อเชิญ มันเหมือนพวกบ้านเช่าราคาถูกที่คนอายุน้อยและมีเงินไม่มากจะมาตามหาฝัน

แน่นอน ไรล์ลี่แน่ใจว่าย่านนี้คงไม่คงอยู่แบบนี้ไปตลอด การปรับปรุงพื้นที่น่าจะมีกำหนดมาถึงในอีกไม่ช้า ซึ่งอันที่จริงก็น่าจะดีสำหรับพวกห้องแสดงงานศิลปะ หากเหยื่อนั้นรอดพ้นออกมาได้อย่างปลอดภัย

ไรล์ลี่กับบิลเดินลงจากรถและตรงไปที่หน้าร้านแกลลอรี่ รูปปั้นเหล็กหน้าตาหล่อเหลาวางแสดงไว้อยู่ตรงกระจกด้านหน้าหลังป้ายห้อยที่มีคำว่า “ปิดแล้ว”

อพาร์ทเม้นท์ของสองสามีภรรยาอยู่ด้านบน ไรล์ลี่กดออดที่หน้าประตู เธอและบิลรออยู่ด้านนอกเพียงครู่ สงสัยว่าใครกันนะที่จะออกมาเปิดประตู

เมื่อประตูเปิดออก เธอโล่งอกที่ได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ชำนาญการเฉพาะทางของเอฟบีไอหน้าตาเป็นกันเอง เบเวอร์ลี่ แชดดิกก์ ไรล์ลี่เคยร่วมงานกับเบเวอร์ลี่มาก่อนแล้ว ผู้ชำนาญการเฉพาะทางทำงานนี้มาแล้วอย่างน้อยก็ยี่สิบปี เธอมีวิธีที่วิเศษมากในการจัดการกับความเศร้าเสียใจในการสูญเสียของสมาชิกในครอบครัว

“เราต้องการสอบปากคำคุณแมคคินน่อนบางข้อ” ไรล์ลี่เอ่ย “หวังว่าคุณจะจัดการได้”

“โอเค” เบเวอร์ลี่ตอบ “แต่ค่อยๆพูดกับเขาก็แล้วกัน”

เบเวอร์ลี่พาบิลและไรล์ลี่เดินขึ้นมาชั้นบนของอพาร์ทเม้นท์เล็ก สภาพข้างบนให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาในความเศร้า ตกแต่งด้วยภาพวาดและรูปปั้นสวยงามมากมาย คนที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะต้องชอบสังสรรค์ให้กับชีวิตและโอกาส มันคงไม่มีอีกแล้วสินะ? ใจเธอปวดร้าวไปกับคู่สามีภรรยาอายุน้อยคู่นี้

นาตาเนียล แมคคินน่อน ชายวัยยี่สิบปลายๆ นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกึ่งห้องกินข้าว รูปร่างผอมโย่งเก้งก้างของเขายิ่งทำให้เขาดูหัวใจสลาย

เบเวอร์ลี่แจ้งด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณนาตาเนียล เจ้าหน้าที่เพจและเจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์มาขอพบค่ะ”

ชายหนุ่มมองบิลและไรล์ลี่อย่างมีหวัง พูดด้วยเสียงต่ำๆอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“คุณหาซินดี้พบแล้วรึยัง? เธอเป็นอะไรรึเปล่า? ยังมีชีวิตอยู่มั้ย?

ไรล์ลี่ตระหนักว่าเธอไม่สามารถจะพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ได้เลย ยิ่งขอบคุณที่เบเวอร์ลี่นั้นอยู่ที่นี่ด้วย และที่เธอนั้นสานสัมพันธ์อันดีไว้ได้แล้วกับสามีผู้กระวนกระวายคนนี้

เบเวอร์ลี่นั่งลงข้างๆ นาตาเนียล แมคคินน่อน

“ยังไม่มีใครมีข้อมูล นาตาเนียล” เธอพูด “พวกเขามาเพื่อช่วยคุณ”

บิลและไรล์ลี่นั่งลงด้านข้าง

ไรล์ลี่ถามขึ้น “คุณแมคคินน่อน ในระยะนี้ภรรยาของคุณมีพูดอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกหวาดกลัวหรือถูกคุกคามบ้างหรือเปล่าคะ”

เขาส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร

บิลเสริมเข้ามา “มันเป็นคำถามที่น่าลำบากใจ แต่เราจำเป็นจะต้องถามตามหน้าที่ ทั้งคุณและภรรยาของคุณมีศัตรูที่ไหน หรือใครที่อาจประสงค์ร้ายกับคุณบ้างหรือเปล่าครับ”

ฝั่งสามีดูไม่ค่อยเข้าใจคำถาม

“ไม่ ไม่” เขาพูดติดๆขัดๆ “ฟังนะครับ มีบางครั้งที่อาจจะมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งบ้างตามสายงานของผม แต่มันก็เป็นแค่เรื่องงี่เง่าเล็กๆน้อยๆ เป็นการจิกกัดกันระหว่างศิลปิน ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรอย่าง…”

เขาหยุดพูดไปกลางประโยค

“แล้วทุกคนก็…รัก ซินดี้ด้วย” เขาพูดต่อ

ไรล์ลี่จับสังเกตความกังวลและไม่แน่ใจในการใช้ไวยากรณ์ในรูปอดีตกาลของเขา เธอรับรู้ว่าการสอบปากคำชายผู้นี้คงไม่ให้ผลลัพธ์อะไรและคงเป็นอะไรที่ไร้ความรู้สึกไปสักหน่อย เธอและบิลควรจะรีบตัดบทและปล่อยให้เป็นหน้าที่ความดูแลของเบเวอร์ลี่จะดีกว่า

 

ในระหว่างนี้ ไรล์ลี่สำรวจไปรอบอพาร์ทเม้นท์ พยายามมองหาหลักฐานแม้เพียงเล็กน้อย

ไม่จำเป็นต้องมีใครบอกเลยว่าซินดี้และนาตาเนียล แมคคินน่อน นั้นไม่มีลูกด้วยกัน นอกจากอพาร์ทเม้นท์จะไม่ใหญ่พอแล้ว ภาพศิลปะรอบๆบ้านยังไม่ได้มีการทำแผงป้องกันมือเด็กอีกต่างหาก

แต่เธอสงสัยว่าสถานการณ์คงจะไม่เหมือนกันกับ มาร์กาเร็ต และ รอย เจอราตี้ ซะทีเดียว เซ้นท์ของเธอบอกว่าทั้งซินดี้และนาตาเนียลนั้นเลือกเองที่จะไม่มีลูก แบบชั่วคราว

พวกเขากำลังรอเวลาที่เหมาะสม ให้มีเงินมากกว่านี้, มีบ้านหลังใหญ่กว่านี้, ชีวิตเป็นระบบมากกว่านี้

พวกเขาคิดว่ามีเวลาเหลือเฟือ ไรล์ลี่คิดในใจ

เธอนึกย้อนไปถึงการคาดการณ์เมื่อช่วงต้นของเธอว่าฆาตกรพุ่งเป้าไปที่คนเป็นแม่ ตอนนี้ทำให้เธอต้องแปลกใจอีกครั้งว่าทำไมเธอถึงได้คิดพลาดไปมากมายเช่นนี้

มีสิ่งอื่นในอพาร์ทเม้นท์ที่เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เธอไม่เห็นรูปถ่ายของนาตาเนียลและซินดี้ตรงไหนเลย มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ดูจากที่คู่สามีภรรยานั้นสนใจกับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายยกเว้นรูปถ่ายของตัวเอง พวกเขาไม่ใช่คนหลงรูป

แต่ถึงกระนั้น ไรล์ลี่จำเป็นต้องเห็นหน้าซินดี้ชัดๆ

“คุณแมคคินน่อนคะ” เธอเรียกเขาอย่างระมัดระวัง “คุณพอจะมีรูปถ่ายปัจจุบันของภรรยาคุณมั้ย?”

เขามองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนจะฉายแววดีใจ

“ทำไมครับ มีสิ” เขาตอบ “ผมมีที่เพิ่งถ่ายใหม่ๆเลยอยู่ในมือถือ”

เขาดึงรูปภาพขึ้นมาบนหน้าจอมือถือแล้วส่งต่อให้ไรล์ลี่

ไรล์ลี่ใจเต้นตึกตักจนแทบจะจุกคอหอยเมื่อเธอเห็นภาพ ซินดี้ แมคคินน่อน กำลังนั่งอยู่โดยมีเด็กหญิงประมาณสามขวบนั่งอยู่บนตัก ทั้งคู่ดูสดใสเต็มไปด้วยความสุข ในมือมีตุ๊กตาที่แต่งชุดเดรสสวยงามถืออยู่ระหว่างกลาง

เธอเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผู้หญิงที่ถูกลักพาตัว, เด็ก, และตุ๊กตา เธอคิดไว้ไม่ผิดเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด มันต้องมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างฆาตกรกับตุ๊กตา

“คุณแมคคินน่อน เด็กในภาพนี้เป็นใครคะ” ไรล์ลี่ถาม อย่างนิ่งที่สุดเท่าที่จะระงับเสียงได้

“นั่นหลานสาวของซินดี้ ชื่อ เกล” นาตาเนียล แมคคินน่อนตอบเธอ “แม่ของเธอคือพี่สาวของซินดี้ ชื่อ เบ็คกี้”

“รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อไหร่คะ” ไรล์ลี่ถามอีก

ชายหนุ่มหยุดคิด “ผมจำได้ว่าซินดี้ส่งมาให้ผมเมื่อวันศุกร์” เขาตอบ “ใช่แล้ว ผมแน่ใจ เธอส่งมาวันนั้นแหละ เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเกล ซินดี้ไปช่วยพี่สาวจัดงาน เธอเลิกงานเร็วเพื่อไปช่วย”

ไรล์ลี่กระเสือกกระสนในความคิด ไม่แน่ใจว่าควรจะถามอะไรต่อไป

“ตุ๊กตาตัวนี้เป็นของขวัญให้หลานสาวคุณซินดี้เหรอคะ” เธอถามต่อ

นาตาเนียลผงกหัว “เกลตื่นเต้นมาก มันทำให้ซินดี้มีความสุขมาก เธอชอบเวลาเห็นเกลมีความสุข เด็กคนนั้นเป็นเหมือนลูกสาวสำหรับเธอ เธอโทรมาหาผมทันทีเพื่อเล่าให้ผมฟัง นั่นก็เป็นตอนที่เธอส่งรูปมา”

ไรล์ลี่พยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ “เป็นตุ๊กตาที่น่ารักมาก ดิฉันพอเข้าใจเลยว่าทำไมเกลถึงชอบมันมาก”

เธอลังเลอีกครั้ง จ้องไปที่ภาพตุ๊กตาราวกับมันสามารถจะบอกเธอในสิ่งที่เธอจำเป็นต้องรู้ได้ แน่นอนว่าปากเปื้อนรอยยิ้มนั้น ดวงตาสีฟ้าว่างเปล่าคู่นั้น มีกุญแจที่จะไขข้อข้องใจของเธอได้ แต่เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะถามอะไรต่อ

จากหางตา เธอมองเห็นว่าบิลกำลังมองเธออยู่อย่างจดจ้อง

ทำไมคนร้ายที่โหดเหี้ยมถึงต้องจัดท่าเหยื่อให้เหมือนตุ๊กตาด้วย?

ในที่สุดไรล์ลี่ก็ถามขึ้นมาว่า “คุณพอจะทราบมั้ยว่าคุณซินดี้ซื้อตุ๊กตามาจากที่ไหน”

นาตาเนียลมีสีหน้างงงวย บิลเองก็ดูหน้าตาประหลาดใจ ไม่ต้องสงสัยเลย เขาต้องกำลังคิดอยู่แน่ว่าเธอกำลังจะทำอะไร ความจริงก็คือ ไรล์ลี่เองก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน

“ผมไม่ทราบเหมือนกัน” นาตาเนียลบอก “เธอไม่ได้บอกผม มันสำคัญเหรอครับ”

“ดิฉันก็ไม่แน่ใจ” ไรล์ลี่สารภาพ “แต่ก็คิดว่ามันมีเปอร์เซ็นต์”

นาตาเนียลนั้นเริ่มจะหมดความอดทน “ผมไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณกำลังจะบอกว่าภรรยาของผมถูกจับตัวไปเพราะตุ๊กตาของเด็กคนนึงเนี่ยนะ”

“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” ไรล์ลี่พยายามคุมเสียงให้นิ่งและน่าเชื่อถือ ก็แน่ล่ะ เธอเข้าใจดีว่าเธอพูดเหมือนอย่างที่เขาเข้าใจนั่นแหละ เธอคิดว่าภรรยาของเขาน่าจะถูกจับตัวไปเพราะตุ๊กตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง แม้ว่ามันจะฟังไม่ขึ้นเลยก็ตาม

นาตาเนียลเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ไรล์ลี่เห็น เบเวอร์ลี่ แชดดิกก์ ผู้ชำนาญการเฉพาะทางที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มมองเธออย่างอึดอัด

ด้วยการส่ายหน้าน้อยๆ เบเวอร์ลี่เหมือนพยายามจะสื่อให้ไรล์ลี่รู้ว่าต้องเบามือกับชายผู้นี้ให้มากกว่านี้ เธอเตือนตัวเองว่าการสอบปากคำเหยื่อหรือครอบครัวของเหยื่อนั้นไม่ใช่งานถนัดของเธอ

ฉันต้องระวังมากกว่านี้ เธอเตือนตัวเอง หากแต่เธอก็จำเป็นต้องรีบแล้ว หญิงสาวถูกจับตัวไป ถูกจับมัดหรือถูกขังมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเธอไม่มีเวลาเหลืออยู่อีกนานนัก นี่ใช่เวลามานั่งกั๊กข้อมูลกันหรือ?

“มีทางไหนที่พอจะทราบได้บ้างมั้ยว่าคุณซินดี้ซื้อมันมาจากที่ไหน” ไรล์ลี่ถาม พยายามพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง “แค่เผื่อไว้ว่าเราอาจจำเป็นต้องใช้ข้อมูลนั้น”

“ซินดี้กับผมเรามีเก็บพวกใบเสร็จต่างๆ” นาตาเนียลบอก “แค่สำหรับไว้หักภาษีรายจ่าย ผมไม่คิดว่าเธอจะเก็บใบเสร็จพวกของขวัญไว้ แต่จะลองดูให้”

นาตาเนียลเดินเข้าไปในตู้และดึงกล่องรองเท้าลงมา เขานั่งกลับลงมาและเปิดดูภายในกล่องที่เต็มไปด้วยกระดาษใบเสร็จ เขาเริ่มค้นและคุ้ยดู มือไม้ก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ผมไม่คิดว่าผมจะช่วยคุณได้” เขาบอก

เบเวอร์ลี่หยิบกล่องไปจากเขาอย่างนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรค่ะคุณแมคคินน่อน” เธอบอกกับเขา “เดี๋ยวดิฉันจะช่วยหาให้เอง”

เบเวอร์ลี่เริ่มคุ้ยใบเสร็จในกล่อง นาตาเนียลนั้นใกล้จะบ่อน้ำตาแตก

“ผมไม่เข้าใจ” เขาพูดออกมาด้วยเสียงแตกพร่า “เธอก็แค่ซื้อของขวัญ มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้จากที่ไหนก็ได้ ผมว่าเธอมีหลายตัวเลือกที่คิดว่าจะซื้อ แต่มาลงตัวที่ตุ๊กตา”

ไรล์ลี่รู้สึกมวนท้อง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การตัดสินใจเลือกซื้อตุ๊กตาเป็นเหตุให้ ซินดี้ แมคคินน่อน ต้องมาเจอกับฝันร้าย หากเธอตัดสินใจซื้อตุ๊กตาสัตว์แทน เธอจะยังได้อยู่ในบ้านวันนี้ มีชีวิตอยู่และมีความสุขดีมั้ย?

“คุณได้โปรดช่วยอธิบายผมทีว่าเรื่องตุ๊กตาพวกนี้มันอะไรกัน?” นาตาเนียลถามย้ำ

ไรล์ลี่รู้ว่าชายผู้นี้ยิ่งกว่าสมควรที่จะได้รับคำอธิบาย แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าจะพูดยังไงให้มันดูไม่ร้ายแรง

“ดิฉันคิดว่า – ” เธอเริ่มพูดอย่างลังเล “ดิฉันคิดว่าคนร้ายที่จับตัวภรรยาของคุณไป – อาจจะมีความหมกมุ่นเกี่ยวกับตุ๊กตา”

เธอรับรู้ได้ถึงอากัปกิริยาของคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง บิลส่ายหัวและเบือนหน้ามองลงต่ำ เบเวอร์ลี่เงยหน้าขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ นาตาเนียลมองเธอด้วยสีหน้าหมดหวังหมดอาลัยตายอยาก

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” เขาถามปนก้อนจุกในลำคอ “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับมัน คุณปิดบังอะไรอะไรผมอยู่”

ไรล์ลี่คิดหาคำตอบที่จะช่วยกู้สถานการณ์ได้ แต่เธอก็เห็นแววตระหนักถึงความจริงในดวงตาคู่นั้นของเขา

“มันเคยก่อคดีมาก่อน ใช่มั้ย?” เขาถาม “มันเคยมีเหยื่อมาก่อนหน้านี้ใช่มั้ย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่อง – ?”

นาตาเนียลดิ้นรนจนจำบางอย่างได้

“โอ้ พระเจ้า” เขาอุทาน “ผมเคยอ่านเจอในข่าว เรื่องฆาตกรต่อเนื่อง มันฆ่าผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว ศพถูกพบที่โมวส์บี้พาร์ค แล้วยังมีที่อุทยานแห่งชาติใกล้เมืองแดกเก็ตต์ แล้วยังแถวๆเมืองเบลดิ้งอีก”

เขาก้มตัวลงเริ่มร้องไห้อย่างคุมสติไม่อยู่

“คุณคิดว่าซินดี้คือเหยื่อรายต่อไปเหรอ” เขาร้องไห้ “คุณคิดว่าเธอตายแล้วใช่มั้ย”

ไรล์ลี่สั่นหัวอย่างให้ความมั่นใจ

“ไม่ใช่ค่ะ” ไรล์ลี่พูด “ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ”

“แล้วพวกคุณ คิด อะไร?”

ความคิดของเธอสับสนอลหม่านไปหมด เธอจะบอกเขาว่าอะไรดี บอกว่าภรรยาของเขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่คงกลัวจนขวัญกระเจิง หรือจะบอกว่าคงกำลังจะถูกทรมานอย่างเจ็บปวดหรืออาจถูกทำให้พิการ หรือจะบอกว่าการกรีดการฟันแทงคงจะไม่มีการหยุดพัก – จนกว่าจะมีคนไปช่วยเธอออกมาหรือไม่ก็เธอต้องตายไปซะก่อน จะบอกอันไหนก่อนดี?

ไรล์ลี่อ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา เบเวอร์ลี่โน้มตัวมาข้างหน้าและวางมือลงบนแขนข้างหนึ่งของเธอ หน้าของผู้ชำนาญการเฉพาะทางคนนี้นั้นยังคงอบอุ่นและเป็นมิตร แต่นิ้วที่เธอแตะลงมานั้นค่อนข้างหนักแน่น

เบเวอร์ลี่พูดด้วยเสียงอันเบาหวิว ราวกับกำลังอธิบายให้เด็กตัวน้อยฟัง

“ดิฉันหาใบเสร็จไม่เจอ” เธอบอก “มันไม่มีในกล่องค่ะ”

ไรล์ลี่เข้าใจความหมายแฝงของเธอ เบเวอร์ลี่กำลังบอกเธอด้วยสายตาว่าการสอบปากคำมันเกินจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องกลับไป

“เดี๋ยวดิฉันจะดูต่อให้เอง” เบเวอร์ลี่ทำปากพูดเป็นเสียงกระซิบที่แทบฟังไม่รู้เรื่อง

ไรล์ลี่กระซิบตอบกลับไป “ขอบคุณมาก ฉันขอโทษด้วย”

เบเวอร์ลี่ยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นใจ

นาตาเนียลนั่งปิดหน้า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาดูขณะที่ไรล์ลี่และบิลลุกขึ้นเพื่อกลับออกไป

พวกเขาเดินออกจากอพาร์ทเม้นท์ลงบันไดเพื่อไปที่ถนน ทั้งคู่เข้าไปนั่งในรถแต่เธอก็ไม่ยอมสตาร์ทเครื่อง เธอรู้สึกว่าน้ำตาของเธอเองเริ่มเอ่อล้นออกมา

ฉันไม่รู้จะไปที่ไหน เธอคิดในใจ ฉันไม่รู้ต้องทำอะไร

ความคิดเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาของเธอในช่วงหลายวันมานี้เลย

“มันคือเจ้าตุ๊กตานั่นแหละ บิล” เธอพูดออกมา พยายามจะอธิบายทฤษฎีใหม่ให้ทั้งตัวเธอเองและบิลฟัง “มันต้องเกี่ยวกับตุ๊กตาแน่ๆ คุณจำที่ รอย เจอราตี้ พูดกับเราที่เมืองเบลดิ้งได้มั้ย”

บิลยักไหล่ “เขาบอกว่าภรรยาคนแรก – มาร์กาเร็ต – ไม่ชอบตุ๊กตา เขาบอกเพราะมันทำให้เธอเศร้าและบางครั้งก็ทำให้เธอร้องไห้”

“ใช่ เพราะเธอไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเองได้” ไรล์ลี่ต่อให้เขา “แต่เขามีพูดบางอย่างต่อ เขาบอกว่าเธอมีเพื่อนและญาติมากมายที่มีลูกเป็นของตัวเอง บอกว่าเธอต้องไปงานเลี้ยงรับขวัญเด็กอยู่เสมอ และไปช่วยจัดงานเลี้ยงวันเกิด”

ไรล์ลี่สังเกตจากสีหน้าของบิลว่าเขาเริ่มจะเข้าใจแล้ว