Kostenlos

วั๊นซ์ กอน

Text
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 12

“เอพริล!” ไรล์ลี่ตะโกนเรียก “เอพริล!”

ไรล์ลี่วิ่งไปเข้าหาในห้องน้ำ แต่ลูกสาวของเธอก็ไม่อยู่ในนั้น

เธอวิ่งหาไปทั่วบ้านเหมือนคนสติแตก เปิดประตูทุกบาน ส่องเข้าไปมองหาทุกห้อง ทุกตู้เสื้อผ้า แต่ไม่เจออะไรเลย

“เอพริล!” เธอตะโกนเรียกอีกครั้ง

ไรล์ลี่รับรู้ถึงรสชาติขมๆของกรดไหลย้อนภายในปาก มันเป็นรสชาติของความกลัว

แต่แล้วเมื่ออยู่ภายในครัวเธอก็ได้กลิ่นแปลกๆลอยเข้ามาจากหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดค้างอยู่ เธอจำกลิ่นนี้ได้จากสมัยที่เธอยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเมื่อนานมาแล้ว ความกลัวหมดลงทันที หากแต่ถูกเข้ามาแทนที่ด้วยความหงุดหงิดและเสียใจ

“โอ้ พระเจ้า” ไรล์ลี่พึมพำออกมาเสียงดัง รู้สึกโล่งอกอย่างที่สุด

เธอกระชากประตูหลังเปิดออก ในแสงจากยามเช้าเธอเห็นลูกสาวของเธอที่ยังอยู่ในชุดนอน กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะปิกนิคเก่าตัวนั้น หน้าตาดูเจื่อนๆและมีพิรุธ

“แม่จะเอาอะไรเหรอคะ” เอพริลถาม

ไรล์ลี่เดินอาดๆผ่านสนามหญ้า พร้อมยื่นมือออกไป

“เอามาให้แม่” ไรล์ลี่สั่ง

เอพริลพยายามตีหน้าใสซื่อไร้เดียงสา

“เอาอะไรให้แม่” เธอถามกลับ

เสียงของไรล์ลี่นั้นสะอึกไปด้วยความเสียใจมากกว่าจะเป็นความโกรธ “บุหรี่ยัดไส้กัญชาที่ลูกกำลังสูบอยู่นั่นไง” เธอบอก

“แล้วขอร้องเลย – อย่ามาโกหกแม่”

“แม่จะบ้าเหรอ” เอพริลตอบกลับ พยายามทำเสียงให้ดูไม่พอใจมากที่ถูกกล่าวหา “หนูไม่ได้กำลังสูบอะไรทั้งนั้น เอะอะแม่ก็ชอบคิดไปเองว่าหนูต้องทำอะไรไม่ดี แม่รู้ตัวรึเปล่า?”

ไรล์ลี่จับสังเกตว่าลูกสาวของเธอนั้นอยู่ในท่าหลังค่อมเอนมาด้านหน้าขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้

“เลื่อนขาออกไป” ไรล์ลี่สั่ง

“อะไรอีก” เอพริลย้อน ทำเป็นไม่เข้าใจ

ไรล์ลี่ชี้ไปที่เท้าที่น่าสงสัยนั้น

“เอาขาออก”

เอพริลส่งเสียงอย่างรำคาญแต่ก็ทำตามที่สั่ง แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้ รองเท้าแตะของเธอเหยียบอยู่บนบุหรี่ยัดไส้มารีฮวนน่าที่เพิ่งโดนเหยียบแบนติดพื้น ยังมีควันจางๆลอยขึ้นมาจากใต้รองเท้าแตะ และกลิ่นก็ยิ่งแรงมากขึ้นไปกว่าเดิม

ไรล์ลี่ก้มลงไปคว้ามันขึ้นมา

“ทีนี้ ส่งทั้งหมดที่เหลือมาให้แม่”

เอพริลยักไหล่ก่อนตอบ “ที่เหลืออะไร”

ไรล์ลี่แทบจะคุมน้ำเสียงไม่อยู่ “เอพริล แม่ไม่ได้พูดเล่นนะ อย่ามาโกหกแม่ ขอร้อง”

เอพริลกลอกตาไปมาแล้วล้วงมือลงไปบนกระเป๋าเสื้อ แล้วดึงบุหรี่ยัดไส้กัญชาที่เหลือที่ยังไม่ได้จุดสูบออกมา

“โอ้ พระเจ้า เอ้านี่ เอาไปเลย” เธอตอบพร้อมยื่นส่งให้กับแม่ “อย่าพยายามจะมาบอกหนูล่ะว่าแม่ไม่ได้จะเก็บไว้สูบเองเมื่อมีโอกาส”

ไรล์ลี่เก็บบุหรี่ยัดไส้ทั้งสองตัวนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมของเธอ

“ยังมีอะไรอีก” เธอออกคำสั่ง

“ก็แค่นั้นแหละ มีอยู่แค่นั้น” เอพริลตอบกลับสะบัด “แม่ไม่เชื่อหนูรึไง ไม่เป็นไร ตามสบาย ค้นตัวหนูได้เลย ค้นห้อง ค้นที่ไหนก็ได้ ก็หนูมีอยู่แค่นี้”

ไรล์ลี่ยืนตัวสั่นไปหมด เธอพยายามอย่างมากที่จะควบคุมสติอารมณ์

“ลูกไปเอาของพวกนี้มาจากไหน” เธอถาม

เอพริลยักไหล่ตอบ “ซินดี้ให้มา”

“ใครคือซินดี้”

เอพริลหัวเราะหยันๆ “ถึงบอกไปแม่ก็ไม่รู้จัก แม่ว่ามั้ย? ทำอย่างกับแม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับชีวิตหนูงั้นแหละ แม่จะแคร์ทำไม จริงมั้ย? หนูหมายความว่า ถึงหนูจะเมากัญชาแต่มันจะมีอะไรแตกต่างสำหรับแม่เหรอ?”

ไรล์ลี่นั้นเหมือนถูกแทงใจดำ เอพริลนั้นจี้ไปที่จุดตายกะเอาให้กระอัก และมันก็เจ็บปวดมาก ไรล์ลี่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

“เอพริล ทำไมลูกถึงเกลียดแม่” เธอร้องไห้

เอพริลดูประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้สำนึกอะไร “หนูไม่ได้เกลียดแม่”

“แล้วทำไมทำเหมือนลงโทษแม่ แม่ไปทำอะไรให้ถึงคู่ควรกับการปฏิบัติแบบนี้”

เอพริลมองออกไปในความว่างเปล่า “บางทีแม่ก็ควรหาเวลาลองนั่งคิดดูเองบ้างนะ”

เอพริลลุกขึ้นจากม้านั่งและเดินมุ่งหน้าเข้าไปในบ้าน

ไรล์ลี่เดินไปเดินมาอยู่ในครัว หยิบนู่นหยิบนี่ออกมาจะทำอาหารเช้าเหมือนหุ่นยนต์ ขณะที่เธอหยิบเบคอนกับไข่ออกมาจากตู้เย็น เธอกลับคิดสงสัยว่าจะทำอย่างไรในสภานการณ์เช่นนี้ เธอควรต้องกักบริเวณเอพริลทันที แต่เธอจะหาวิธีทำแบบนั้นยังไง?

เมื่อตอนไรล์ลี่นั้นกำลังพักร้อน เธอก็มีเวลาจับตาดูเอพริลอยู่หรอก แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ เมื่อเธอกลับเข้าไปประจำการ ตารางเวลาของเธอก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ และจากที่เห็นในตอนนี้ ลูกสาวเธอเองก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน

ไรล์ลี่ครุ่นคิดถึงทางเลือกขณะที่กำลังวางแผ่นเบคอนเพื่อทอดลงในกระทะ มีอยู่อย่างหนึ่งที่เธอแน่ใจ เพราะเอพริลจะต้องไปใช้เวลาส่วนใหญ่กับพ่อ ไรล์ลี่จึงคิดว่าควรจะต้องบอกไรอันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นก็จะเปิดทางให้สารพัดปัญหาตามมา ไรอันนั้นก็เชื่ออยู่แล้วว่าไรล์ลี่ไร้ซึ่งความสามารถทั้งในฐานะภรรยาและในฐานะแม่ หากเธอบอกเขาเรื่องที่เธอจับเอพริลสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาใด้ในสนามหญ้าหลังบ้าน เขาจะต้องมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ในเรื่องนั้น

แต่บางทีเขาก็อาจจะคิดถูก เธอคิดกับตัวเองเศร้าๆขณะที่มือก็ดันขนมปังสองแผ่นลงไปในเครื่องปิ้ง

ที่ผ่านมา ไรอันและไรล์ลี่สามารถจัดการที่จะเลี่ยงปัญหาการช่วงชิงสิทธิ์การเลี้ยงดูเอพริลมาได้ เธอรู้ดีถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับแต่เขาก็สนุกกับการใช้ชีวิตเยี่ยงชายโสดและอิสรภาพมากเกินกว่าที่จะมานั่งใส่ใจกับการเลี้ยงลูกวัยรุ่น เขาก็ดูไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรตอนที่ไรล์ลี่บอกว่าเอพริลจะได้มาอยู่กับเขามากขึ้น

แต่เธอก็รู้ดีเช่นกันว่าท่าทีของสามีเก่าเธอนั้นสามารถจะกลับตาลปัตรได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากเขามีข้ออ้างในการโยนความผิดอะไรให้เธอ หากเขารู้ว่าเอพริลแอบสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชา อาจจะพยายามพรากเธอไปจากไรล์ลี่เลยก็เป็นได้ แล้วนั่นคงเป็นอะไรที่เธอทนไม่ได้

ไม่กี่นาทีต่อมา ไรล์ลี่และลูกสาวก็นั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่โต๊ะ ความเงียบระหว่างทั้งสองนั้นยิ่งน่าอึดอัดมากกว่าปกติเสียอีก

ในที่สุดเอพริลก็ถามขึ้น “แม่จะบอกพ่อรึเปล่า”

“ลูกคิดว่าบางทีแม่ควรจะบอกมั้ย” ไรล์ลี่ตอบ

ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่สัตย์จริงที่สุดแล้วในสถานการณ์นั้น

เอพริลคอตก ดูออกว่ากังวล

แล้วก็ขอร้องขึ้นว่า “หนูขอร้อง แม่อย่าบอกแกเบรียล่านะ”

คำพูดนั้นแทงทะลุเข้าไปที่ใจของไรล์ลี่ เอพริลนั้นกังวลว่าแม่บ้านจะรู้เรื่องมากกว่าจะสนใจว่าพ่อของเธอจะว่ายังไง – หรือแม้กระทั่งว่าแม่ของเธอจะว่าอย่างไร

เรื่องมันแย่มาถึงขั้นนี้เชียวหรือ ไรล์ลี่คิดในใจอย่างเศร้าๆ

สิ่งล้ำค่าตัวน้อยที่มีค่าที่สุดที่หลงเหลือจากชีวิตครอบครัวของเธอกำลังถูกแยกออกเป็นเสี่ยงๆต่อหน้าต่อตา เธอรู้สึกราวกับว่าเธอเหมือนไม่ใด้เป็นแม่อีกต่อไป เธออยากรู้เหลือเกินว่าไรอันจะเคยรู้สึกแบบนี้ในมุมของความเป็นพ่อบ้างมั้ย

คงจะไม่ จะให้มานั่งรู้สึกผิดนั้นก็ไม่ใช่สไตล์ของไรอัน บางทีเธอก็อิจฉาที่เขาไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายๆ

หลังอาหารเช้า ขณะที่เอพริลกำลังเตรียมตัวไปโรงเรียน บ้านทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ และไรล์ลี่กำลังหมกมุ่นอยู่กับอีกความคิดหนึ่งจากเรื่องในเมื่อคืนว่า – ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงๆล่ะ มีอะไรหรือใครที่ทำให้เกิดเสียงกุกกักนั้นที่ประตูหน้าบ้าน มันมีเสียงกุกกักอยู่ที่หน้าบ้านจริงๆหรือเปล่า หินเล็กๆพวกนั้นอยู่ดีๆมาจากไหน

เธอนึกไปถึงที่มารีวิตกจริตว่ามีโทรศัพท์แปลกๆ และนั่นทำให้ความหมกหมุ่นและขยาดกลัวค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตัวเธอ

และเธอกำลังจะควบคุมมันไม่ได้ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมกดโทรออกหาเบอร์ที่คุ้นเคย

“เบ็ตตี้ ริชเตอร์ ฝ่ายนิติเวชเอฟบีไอพูดสาย” มีเสียงรับโทรศัพท์อย่างห้วนๆ

“เบ็ตตี้ นี่ ไรล์ลี่ เพจ พูดสาย” ไรล์ลี่กลืนน้ำลายเอื้อก “ฉันว่าคุณรู้ว่าฉันโทรมาทำไม”

เพราะยังไงแล้ว ไรล์ลี่ก็โทรศัพท์เข้ามาแบบนี้ทุกๆสองสามวันภายในระยะเวลาหกสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ริชเตอร์นั่นได้รับมอบหมายให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของปีเตอร์สัน และไรล์ลี่ก็อยากรู้เหลือเกินว่ามันมีผลสรุปออกมาว่ายังไง

“คุณต้องการจะให้ฉันบอกกับคุณว่าปีเตอร์สันนั้นตายแล้วจริงๆ” เบ็ตตี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ เธอเป็นคนที่มีความอดทน เข้าอกเข้าใจ และมีอารมณ์ขัน และไรล์ลี่ก็รู้สึกขอบคุณที่มีเธอเป็นเพื่อนปรับทุกข์มาตลอด

“ฉันรู้ว่ามันฟังดูประสาท”

“หลังจากเรื่องที่คุณต้องเจอมา?” เบ็ตตี้บอก “ไม่หรอก ฉันไม่คิดว่าคุณประสาท แต่ฉันก็ไม่มีข้อมูลอะไรใหม่จะบอกคุณ มีแค่เพียงข้อมูลเดิมๆ ก็คือ เราพบศพของปีเตอร์สัน แน่นอนว่ามันถูกไหม้เป็นเถ้าถ่าน แต่ส่วนสูงและรูปร่างก็ตรงกับเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นใครคนอื่น”

“คุณมั่นใจขนาดไหน ขอเป็นเปอร์เซ็นต์ได้มั้ย”

“ก็ประมาณ 99%” เธอตอบ

ไรล์ลี่สูดหายใจลึกเข้าอย่างช้าๆ

“คุณทำให้มันเป็น 100% ไม่ได้เหรอ” เธอถาม

เบ็ตตี้ถอนหายใจ “ไรล์ลี่ ฉันไม่สามารถจะการันตีความแน่นอนอะไรในชีวิตให้คุณได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นพรุ่งนี้เช้า โลกอาจจะถูกทำลายด้วยอุกกาบาตก็ได้ในระหว่างนี้ แล้วพวกเราก็จะตายกันหมดทุกคน”

ไรล์ลี่ปล่อยหัวเราะน้อยๆเสียงละห้อย

“ขอบคุณที่ทำให้ฉันต้องมากังวลกับอีกเรื่องหนึ่ง” เธอบอก

เบ็ตตี้ก็ขำเล็กน้อยเช่นกัน “ได้ทุกเมื่อ” เธอตอบ “ยินดีที่ได้ช่วยนะ”

“แม่?” เอพริลตะโกนเรียกออกมา พร้อมแล้วที่จะไปโรงเรียน

ไรล์ลี่วางสายลงอย่างรู้สึกขมขื่น และเตรียมตัวออกจากบ้าน หลังจากส่งเอพริลแล้วเธอตกลงจะไปรับบิลวันนี้ พวกเขามีผู้ต้องสงสัยที่ตรงตามทุกเกณฑ์ต้องสอบสวน

และไรล์ลี่มีความรู้สึกว่าคนๆนี้อาจเป็นเจ้าฆาตกรชั่วร้ายที่พวกเขากำลังตามหา

บทที่ 13

ไรล์ลี่ดับเครื่องยนต์แล้วนั่งรอบิลอยู่หน้าบ้าน ชื่นชมกับแบบบ้านตากอากาศสองชั้นสวยงามของเขา เธอเคยสงสัยมาตลอดว่าเขาจัดการกับสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างไร ถึงได้ดูเขียวสว่างสวยงาม แล้วยังมีไม้พุ่มประดับที่ตกแต่งเล็มใบและกิ่งได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ชีวิตครอบครัวของบิลอาจจะดูยุ่งเหยิง แต่เขาก็จัดการสนามหญ้าได้อย่างน่ามอง เพอร์เฟ็คสำหรับละแวกที่อยู่อาศัยที่เหมือนหลุดมาจากภาพถ่ายเช่นนี้ เธออดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่าสนามหญ้าหลังบ้านของเขาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรในชุมชนเล็กๆใกล้กับเมือง

ควอนติโก้นี้

บิลเดินออกมาโดยมีภรรยา, แม็คกี้, เดินตามหลังมา พร้อมกับถลึงตาใส่ไรล์ลี่อย่างดุๆ ไรล์ลี่มองไปทางอื่น

บิลก้าวขึ้นรถและปิดประตู

“รีบไปจากที่นี่กันเถอะ” เค้าบ่นด้วยความโมโห

ไรล์ลี่สตาร์ทรถและหักพวกมาลัยเบี่ยงออกจากทางเดิน

“ฉันเดาว่าที่บ้านคุณสถานการณ์ไม่ค่อยจะดีเหรอ” เธอถาม

บิลสั่นหน้า

“เราทะเลาะกันบ้านแทบแตกเมื่อคืนนี้ที่ผมกลับมาดึก แล้วนี่ยังลากมาต่ออีกในตอนเช้า”

เขาเงียบไปซักแป๊บหนึ่ง แล้วเสริมขึ้นมาขรึมๆ “เธอพูดเรื่องหย่าอีกแล้ว แล้วเธอก็จะเอาสิทธิ์ขาดในการเลี้ยงดูลูกชายทั้งหมด”

ไรล์ลี่ลังเล แต่แล้วเธอก็เดินหน้าถามคำถามที่เธอมีอยู่ในหัว “แล้วฉันเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยรึเปล่า?”

บิลเงียบไป

“อืม” เขาสารภาพออกมาในที่สุด “เธอไม่ชอบใจที่เรากลับมาทำงานร่วมกันอีก เธอบอกว่าคุณเป็นเหมือนสิ่งมอมเมาที่ไม่ดี”

 

ไรล์ลี่ไม่รู้จะตอบอย่างไร

บิลเสริมขึ้นมาอีกว่า “เธอบอกว่าผมจะมีสภาพแย่ที่สุดเวลาที่ผมทำงานกับคุณ บอกว่าผมถูกดึงความสนใจ หมกมุ่นกับงานมากขึ้น”

ก็จริงของเธอนะ ไรล์ลี่คิด เธอและบิลนั้นต่างหมกมุ่นกับงานทั้งคู่

ระหว่างขับรถไปทั้งคู่ก็เงียบไปอีก ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บิลก็เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค

“ผมมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับคนที่เรากำลังจะไปคุยด้วยวันนี้ นายรอส แบล็คเวล”

เขากดเลื่อนอ่านหน้าจออย่างเร็ว

“มีประวัติเป็นผู้กระทำผิดทางเพศ” เขากล่าวเสริม

ริมฝีปากของไรล์ลี่นั้นห่อตัวด้วยความขยะแขยง

“ข้อหาอะไร”

“มีสื่อลามกเกี่ยวกับผู้เยาว์ไว้ในครอบครอง จริงๆเขาโดนตั้งข้อสงสัยมากกว่านี้แต่ว่าไม่มีหลักฐานเอาผิด ชื่อของเขาอยู่ในระบบแต่ไม่ได้ถูกควบคุมความประพฤติ เป็นเคสของเมื่อสิบปีมาแล้ว รูปของเขาก็ค่อนข้างเก่าแล้วด้วย”

พวกอีแอบ เธอคิดในใจ สงสัยท่าจะจับยาก

บิลอ่านต่อ

“โดนไล่ออกจากงานหลายที่ ด้วยเหตุผลคลุมเครือ ครั้งสุดท้ายเขาทำงานอยู่ที่ร้านสาขาแฟรนไชส์ของห้างใหญ่ในเมืองเบลท์เวย์ – ขายของซื้อขายในชีวิตประจำวันทั่วไป ลูกค้าของร้านส่วนใหญ่ก็พวกครอบครัวและเด็กๆ เมื่อตอนที่ทางร้านจับได้ว่าแบล็คเวลเอาตุ๊กตามาจัดท่าทางลามกอนาจาร ทางร้านก็ไล่เขาออกและจับเขาส่งตำรวจ”

“ผู้ชายที่ทำวิตถารกับตุ๊กตาแถมยังมีประวัติเกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจารเกี่ยวกับเด็ก” ไรล์ลี่บ่นพึมพำ

จนถึงตอนนี้ รอส แบล็คเวล นั้นตรงกับเค้าโครงที่เธอปะติดปะต่อขึ้นมา

“แล้วตอนนี้ล่ะ” เธอถามขึ้น

“เขาได้งานอยู่ที่ร้านขายของสะสม อย่างพวกโมเดลต่างๆ” บิลตอบ “เป็นสาขาของแฟรนไชส์เดิมในอีกห้างหนึ่ง”

ไรล์ลี่แปลกใจเล็กน้อย

“ผู้จัดการไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติของนายแบล็คเวลตอนที่จ้างเขาเหรอ”

บิลยักไหล่

“พวกเขาอาจจะไม่สนก็ได้ รสนิยมทางเพศของเขาดูจะหนักไปทางเพศหญิงทั้งหมด บางทีพวกเขาอาจไม่คิดว่าจะมีอันตรายอะไรในสถานที่ทำงานที่มีแต่โมเดลรถ โมเดลเครื่องบิน กับโมเดลรถไฟหรอก”

เธอรู้สึกสะท้านไปทั่วร่าง ทำไมคนประเภทนั้นยังมีปัญญาหางานทำได้อีกนะ ผู้ชายคนนี้ดูมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นฆาตกรโรคจิต แล้วทำไมเขาถึงยังได้รับการปล่อยให้ออกมาลอยนวลอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีก

ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางฝ่าดงจราจรอันแสนติดมาถึงเมืองแซนฟิลด์ ชานเมืองวอชังตันดีซีนี้ไรล์ลี่เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนตัวอย่างของ “เมืองที่เจริญแล้ว” ธรรมดาทั่วไป ที่ส่วนมากเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและสำนักงานใหญ่ของบริษัทต่างๆ เธอดูว่ามันไร้ชีวิตชีวา จอมปลอม และน่าสลดใจ

เธอจอดรถไว้ข้างหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ที่หนึ่ง ในชั่วขณะเธอได้แต่นั่งอยู่ในรถและจ้องมองดูรูปเก่าของแบล็คเวลบนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของบิล มันไม่มีอะไรเด่นเลยบนใบหน้าของเขา แค่ชายผิวขาวที่มีผมสีเข้มกับสีหน้าอวดดี ตอนนี้ก็คงจะอายุประมาณห้าสิบกว่าได้แล้ว

เธอกับบิลออกจากรถและลงเดินเท้าตรงผ่านดินแดนแห่งความสุขของผู้จับจ่ายใช้สอย จนกระทั่งพวกเขามองเห็นร้านทำโมเดล

“ฉันไม่อยากปล่อยให้มันหนีไปได้” ไรล์ลี่บอก “ถ้ามันเห็นเราแล้วชิ่งจะทำยังไง”

“เราน่าจะต้อนมันในร้านได้” บิลตอบ “ทำให้มันขยับไปไหนไม่ได้แล้วให้ลูกค้าออกจากร้าน”

ไรล์ลี่วางมือหนึ่งบนปืนของเธอ

ยังไม่ใช่ตอนนี้ เธอบอกตัวเอง อย่าสร้างความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

เธอยืนตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง คอยมองดูลูกค้าของร้านเดินเข้าออก แบล็คเวลจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นรึเปล่า มันหนีไปแล้วรึเปล่านะ

ไรล์ลี่กับบิลเดินผ่านประตูเข้าไปในร้านทำโมเดล พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนที่แผ่กางออกและโมเดลแบบจำลองเมืองเล็กๆประกอบอย่างละเอียด จบด้วยรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่และแสงไฟที่สาดมาจากไฟจราจร โมเดลเครื่องบินห้อยย้อยลงมาจากเพดาน ไม่มีตุ๊กตาให้เห็นซักตัวเดียว

ผู้ชายหลายคนดูเหมือนกำลังง่วนกับการทำงานในร้าน แต่ไม่มีคนไหนที่เหมือนกับที่เธอวาดภาพไว้ในความคิด

“ฉันไม่เห็นเขาเลย” ไรล์ลี่บอก

ที่เค้าน์เตอร์หน้าร้าน บิลถาม “มีคนชื่อ รอส แบล็คเวล ทำงานอยู่ที่นี่มั้ยครับ”

ชายหนุ่มที่เค้าน์เตอร์เก็บเงินพยักหน้าและชี้ไปทางชั้นวางอุปกรณ์ประกอบแบบจำลอง ชายรูปร่างอ้วนเตี้ยม่อต้อผมกึ่งดำกึ่งขาวกำลังจัดแยกสินค้าอยู่ เขาหันหลังให้ไรล์ลี่และบิล

ไรล์ลี่แตะมือไปที่ปืนอีกครั้ง แต่ปล่อยมันไว้อยู่ในปลอกหุ้ม ทั้งเธอและบิลกระจายกันไปคนละทางเพื่อจะได้บล็อคหากนาย

แบล็คเวลคิดจะหนี

หัวใจเธอเต้นรัวขึ้นขณะที่เธอก้าวเข้าไปใกล้

“รอส แบล็คเวล ใช่รึเปล่า?” ไรล์ลี่ถามออกไป

ชายผู้นั้นหันมา เขาสวมแว่นตาหนาเตอะและพุงยื่นเลยออกมานอกเข็มขัด ไรล์ลี่ชะงักไปกับผิวหนังด้านๆที่ซีดเผือดราวกับขาดเลือดของเขา เธอคิดว่าเขาไม่น่าจะวิ่งหนีได้ แต่การประเมินคำว่า “บุคคลน่ารังเกียจ” ของเธอ ก็ดูพอเหมาะพอเจาะกับเขา

“ก็แล้วแต่สถานการณ์” แบล็คเวลตอบพร้อมยิ้มกว้าง “คุณมีธุระอะไร”

ทั้งคู่หยิบตราประจำตัวออกมาแสดง

“ว้าว มาจากองค์กรเหรอ” แบล็คเวลออกอาการราวกับถูกใจ “นี่เป็นเรื่องใหม่เลยนะ ผมชินซะแล้วกับการจัดการกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หวังว่าคุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาจับผม เพราะผมคิดจริงๆ ว่าพวกเรื่องเข้าใจผิดแปลกๆมันเป็นอดีตไปแล้ว”

“เราแค่อยากจะถามคำถามคุณสองสามข้อ” บิลตอบ

แบล็คเวลยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและเอียงคอมาแทนคำถาม

“คำถามสองสามข้อเหรอ? ก็อย่างว่านะ ผมน่ะแทบจะท่องบัญญัติสิทธิพื้นฐานของพลเมืองได้อยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณหากผมไม่อยากตอบ แต่เฮ้ ไม่แน่นะ มันอาจจะสนุกก็ได้ ถ้าคุณเลี้ยงกาแฟผม ผมก็เอาด้วยละกัน”

แบล็คเวลเดินตรงไปที่เค้าน์เตอร์หน้าร้าน โดยมีไรล์ลี่และบิลตามไปติดๆ ไรล์ลี่นั้นตื่นตัวเตรียมพร้อมหากเขาคิดหาทางหนี

“ฉันขอเบรคไปกินกาแฟนะเบอร์นี่” แบล็คเวลบอกที่แคชเชียร์

ไรล์ลี่บอกไม่ถูกจากสีหน้าของบิลว่าเขานั้นกำลังสงสัยว่าเราจับถูกคนอยู่หรือเปล่า เธอเข้าใจว่าทำไมเขาอาจจะคิดแบบนั้น

แบล็คเวลไม่ได้ดูตกใจที่เจอพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงแล้ว เขาดูจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ

แต่เท่าที่ไรล์ลี่เข้าใจ แบบนี้ทำให้เขาดูยิ่งวิปริตและไร้ศีลธรรมมากขึ้นไปอีก หลายคนที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นก็มีการแสดงออกที่มั่นใจและมีเสน่ห์ สิ่งสุดท้ายที่เธอคิดว่าจะได้เห็นคือการที่ฆาตกรดูมีอาการสำนึกผิดแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ทางไปศูนย์อาหารนั้นใกล้นิดเดียว แบล็คเวลพาบิลและไรล์ลี่เดินตรงไปที่ร้านกาแฟ หากชายผู้นี้กำลังหวาดวิตกกับการอยู่ร่วมพื้นที่กับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองคนแล้วล่ะก็ เขาก็เก็บความรู้สึกได้มิดชิดมาก

เด็กหญิงที่กำลังเดินอยู่ด้านหลังแม่นั้นสะดุดและล้มลงมาตรงหน้าพวกเขา

“อุ๊บส์!” แบล็คเวลร้องออกมาด้วยความสนุกสนาน เขาก้มลงไปและอุ้มเด็กให้ยืนขึ้น

แม่ของเด็กกล่าวขอบคุณอย่างอัตโนมัติและจูงมือเด็กหญิงเดินต่อไป ไรล์ลี่มองแบล็คเวลที่กำลังจ้องมองขาอ่อนที่อยู่ใต้กระโปรงสั้นของเด็กหญิง เธอรู้สึกคลื่นไส้กับภาพที่เห็น และยิ่งสงสัยเขาหนักมากขึ้น

ไรล์ลี่คว้าต้นแขนแบล็คเวลเข้าอย่างแรง แต่เขากลับมองเธอด้วยสายตาฉงนและใสซื่อ เธอสลัดแขนทิ้งและปล่อยเขาไป

“ไปสั่งกาแฟของคุณสิ” เธอบอก พยักเพยิดให้เขาไปที่เค้าน์เตอร์ของร้าน

“ผมขอคาปูชิโน่” แบล็คเวลบอกกับหญิงสาวอายุน้อยหลังเค้าน์เตอร์ “คนพวกนี้จะเป็นคนจ่ายนะ”

พร้อมกับหันมาทางบิลและไรล์ลี่ เขาถามต่อ “คุณสองคนจะเอาอะไร?”

“ไม่เป็นไร เราไม่ดื่ม” ไรล์ลี่ตอบ

บิลจ่ายเงินค่าคาปูชิโน่ และทั้งสามก็เดินมุ่งหน้าไปที่โต๊ะที่ไม่มีคนอื่นนั่งอยู่รอบๆ

“โอเค คุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผม” แบล็คเวลถามขึ้น เขาดูผ่อนคลายและเป็นมิตร “ผมหวังว่าพวกคุณคงจะไม่ด่วนตัดสินผมเหมือนเจ้าหน้าที่อื่นๆที่ผมเคยเจอมานะ คนเราสมัยนี้มันใจแคบ”

“ใจแคบเกี่ยวกับเรื่องการวางตุ๊กตาในท่าล่อแหลมน่ะเหรอ” บิลถาม

แบล็คเวลดูเหมือนเขาเจ็บปวดจริงๆ “คุณพูดซะมันฟังดูเป็นเรื่องสกปรกไปเลย” เขาบอก “มันไม่มีอะไรล่อแหลมเลย คุณลองดูกันเอาเอง”

แบล็คเวลเอาโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเริ่มเปิดให้ดูภาพถ่ายงานฝีมือของเขาั รวมถึงหุ่นลามกอนาจารที่เขาสร้างภายในบ้านตุ๊กตา หุ่นตัวเล็กรูปคนอยู่ในสภาพไม่สวมเสื้อผ้าในแบบต่างๆ มันถูกจับวางท่าทางในหลากหลายจินตนาการของการร่วมเพศหมู่และถูกวางอยู่ในบริเวณต่างๆของบ้าน สมองของไรล์ลี่นั้นงุนงงกับความหลากหลายของท่าทางการร่วมเพศที่ถูกแสดงอยู่ในภาพถ่าย – ในหลายรูปน่าจะผิดกฎหมายรัฐในหลายๆรัฐ

ดูล่อแหลมมากสำหรับฉัน ไรล์ลี่คิด

“ผมแค่เสียดสีสังคมก็เท่านั้น” แบล็คเวลอธิบาย “ผมแค่ต้องการสื่อให้เห็นถึงประเด็นทางสังคมที่สำคัญ เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มีวัฒนธรรมหยาบโลนและบ้าวัตถุ ใครซักคนต้องออกมาเรียกร้องแบบนี้บ้าง ผมก็แค่ใช้อิสรภาพทางคำพูดให้เกิดประโยชน์อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ผมไม่ได้ใช้มันในทางที่ผิด ไม่ใช่ว่าผมออกมาตะโกนว่า ‘ไฟไหม้’ ในโรงหนังที่มีคนดูอยู่แน่นซะเมื่อไหร่”

ไรล์ลี่สังเกตว่าบิลนั้นเริ่มจะออกอาการไม่พอใจแล้ว

“แล้วเด็กๆที่มาเห็นภาพจำลองเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ของคุณล่ะ? บิลถาม “คุณไม่คิดว่าคุณทำร้ายพวกเขาบ้างเหรอ”

“ไม่ ด้วยความสัตย์จริง ไม่เลย” แบล็คเวลตอบอย่างเยาะๆ “พวกเขาเห็นอะไรที่แย่ยิ่งกว่านี้จากสื่อต่างๆทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่มีคำว่าความใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กอีกต่อไป นั่นก็คือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกให้โลกรู้ มันทำให้ผมใจสลาย ผมจะบอกคุณให้”

เขาพูดเหมือนรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไรล์ลี่นึกในใจ

แต่เธอก็เห็นค่อนข้างชัดเจนว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดเลย รอส แบล็คเวล นั้นไม่มีศีลธรรมแม้แต่นิดเดียว หรือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็ไม่มีฝังอยู่ในกระดูกร่างกายของเขา ยิ่งเวลาผ่านไปไรล์ลี่ก็ยิ่งเกิดความสงสัยในความรู้สึกผิดของเขามากขึ้น

เธอพยายามจะอ่านสีหน้าเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เหมือนพวกโรคจิตวิปริตทั้งหลาย เขาปกปิดความรู้สึกตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม

“บอกฉันหน่อย รอส” เธอบอก “คุณชอบออกไปข้างนอกมั้ย? ฉันหมายถึงไปแคมป์ปิ้งหรือไปตกปลาอะไรแบบนี้”

หน้าของแบล็คเวลเปล่งประกายด้วยรอยยิ้มกว้าง “อ๋อ แน่นอน ตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้ว ผมเป็นลูกเสือด้วยนะสมัยก่อน บางทีก็ต้องเข้าไปในป่าคนเดียวทีละเป็นอาทิตย์ บางครั้งผมก็คิดว่าผมคงเป็น แดเนียล บูนน์ เมื่อชาติที่แล้ว”

ไรล์ลี่ถามต่อ “แล้วคุณชอบล่าสัตว์ด้วยรึเปล่า”

“แน่นอน ตลอดเวลาเลยหละ” เขาตอบด้วยเสียงกระตือรือร้น “ผมได้รางวัลตั้งหลายถ้วยอยู่ที่บ้าน คุณรู้มั้ยหัวของกวางตัวใหญ่ๆ ผมยึดมันติดกับผนังด้วยตัวเองเลยนะ ผมเก่งเรื่องการสต๊าฟซากสัตว์ด้วย”

ไรล์ลี่หรี่ตามองแบล็คเวล

“คุณมีที่ไหนที่ชอบไปมั้ย? ฉันหมายถึงป่าหรืออะไรแบบนี้ สวนของรัฐหรืออุทยานแห่งชาติ”

แบล็คเวลลูบคางอย่างใช้ความคิด

“ผมไปที่เยลโล่สโตนบ่อยมาก” ผมว่า “นั่นเป็นสถานที่โปรดของผม แน่นอน มันยังเทียบไม่ได้กับภูเขาเดอะเกรทสโมกกี้ หรือ อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี มันเลือกยาก”

บิลเสริมเข้ามา “แล้วสวนเมืองโมวส์บี้หล่ะ หรือไม่ก็อุทยานแห่งชาติใกล้เมืองแด็กเก็ตต์”

อยู่ดีๆแบล็คเวลก็ดูระวังตัว

“คุณอยากรู้ไปทำไม” เขาถามอย่างตะกุกตะกัก

ไรล์ลี่รู้ว่าช่วงเวลาแห่งความจริง – หรือในทางตรงกันข้าม – นั้นมาถึงแล้ว เธอล้วงมือไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาภาพถ่ายของเหยื่อการฆาตกรรมที่ถ่ายไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ออกมา

“คุณรู้จักผู้หญิงเหล่านี้หรือไม่” ไรล์ลี่ถาม

แบล็คเวลตาลุกด้วยความตื่นตัว

“ไม่” เขาตอบด้วยเสียงสั่นเทา “ผมไม่เคยเห็นพวกเธอมาก่อนในชีวิต”

“คุณแน่ใจหรือเปล่า?” ไรล์ลี่ต้อน “บางทีชื่อของพวกเธออาจจะทำให้คุณจำได้ รีบ้า ฟราย, เอลีน โรเจอร์ส, มาร์กาเร็ต เจอราตี้”

แบล็คเวลดูตื่นตระหนก

“ไม่เคย” เขาตอบ “ผมไม่เคยเห็นพวกเธอ ไม่เคยได้ยินชื่อด้วย”

ไรล์ลี่สังเกตใบหน้าเขาครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็เข้าใจสถานการณ์ เธอได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้เกี่ยวกับ รอส แบล็คเวล แล้ว

“ขอบคุณที่สละเวลาให้เรา รอส” เธอกล่าว “แล้วจะติดต่อมา หากเราต้องการทราบอะไรเพิ่มเติม”

บิลดูงุนงงขณะที่เดินตามเธอออกมาจากศูนย์อาหาร

“เมื่อกี๊นี้มันเกิดอะไรขึ้น” เขาถามสะบัดๆ “คุณคิดอะไรอยู่ เขาผิดชัดๆและก็รู้ด้วยว่าเราตามกลิ่นเขาอยู่ เราปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้จนกว่าเราจะจับเขาได้”

ไรล์ลี่ปล่อยเสียงถอนใจอย่างเริ่มจะหมดความอดทนเล็กน้อย

“ลองคิดดูนะบิล” เธอพูด “คุณได้เห็นผิวสีซีดเผือดของเขานั่นรึเปล่า ไม่มีกระแม้แต่จุดเดียว ผู้ชายคนเมื่อกี๊ไม่เคยแม้แต่จะออกไปข้างนอกได้ถึงหนึ่งวันเต็มๆหรอกในชีวิต”

“ถ้างั้น เขาก็เคยไม่เคยเป็นลูกเสือเหรอ?”

ไรล์ลี่ขำเล็กน้อย “ไม่เคย” เธอตอบ “แล้วฉันยังฟันธงให้คุณได้ด้วยว่าเขาไม่เคยไปเยลโล่สโตนหรืออุทยานแห่งชาติโยเซมิตีหรือภูเขาเดอะเกรทสโมกกี้ และเขาก็ไม่รู้วิธีสต๊าฟซากสัตว์ด้วยแน่นอน

บิลดูค่อนข้างละอายในตอนนี้

“เขาทำซะผมเกือบเชื่อแน่ะ” บิลบอก

ไรล์ลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ใช่ เขาเกือบทำได้แน่ะ” เธอพูด “เขาโกหกเก่งทีเดียว สามารถทำให้คนฟังเชื่อว่ากำลังพูดความจริงเกี่ยวกับทุกเรื่อง แล้วก็ชอบที่จะโกหกด้วย โกหกทุกครั้งที่สบโอกาส – ยิ่งเรื่องที่โกหกเป็นเรื่องใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งดี”

เธอหยุดพูดแป๊บหนึ่ง

“ปัญหาคือ” ไรล์ลี่เสริม “เขาห่วยแตกเวลาเล่าความจริง เพราะไม่เคยชิน เขาดูจะสมาธิหลุดเวลาพยายามจะเล่า”

บิลเดินข้างเธอเงียบๆครู่หนึ่ง กำลังพยายามจะละเลียดข้อมูลพวกนี้

“คุณหมายความว่า – ?” เขาเริ่มเอ่ย

“เขาพูดความจริงเกี่ยวกับผู้หญิงพวกนั้น บิล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเสียงของเขาถึงฟังดูรู้สึกผิด ความจริงจะฟังเหมือนเรื่องโกหกเวลาถูกพูดถึงเสมอ เขาไม่เคยพบหรือเจอผู้หญิงเหล่านั้นมาก่อนเลยในชีวิต ฉันไม่ได้บอกว่าเขาไม่มีทางสังหารคนได้ เขาน่าจะทำได้ แต่เขาไม่ได้เป็นคนลงมือในคดีสังหารพวกนี้”

บิลส่งเสียงคำรามในลำคอ

“ให้ตายสิ” เขาบ่นออกมา

ไรล์ลี่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกในระหว่างทางกลับ นี่เป็นความล้มเหลวสุดๆเลย เธอยิ่งคิดเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก ฆาตกรตัวจริงยังคงลอยนวลอยู่ข้างนอก แล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน และเธอนั้นรู้ รู้ดีว่ามันจะต้องลงมือสังหารอีกในเร็ววันนี้

ไรล์ลี่เริ่มอารมณ์เสียกับความไร้สามารถในการเจาะคดีนี้ แต่ขณะที่เธอกำลังคุ้ยสมองของเธออยู่นั้นเอง อยู่ๆเธอก็นึกได้ว่าใครที่เธอควรจะต้องไปคุยด้วย ในตอนนี้