Kostenlos

วั๊นซ์ กอน

Text
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 4

แสงสีขาวจากคบเพลิงน้ำมันโพรเพนนั้นถูกส่ายไปมาอยู่ข้างหน้าไรล์ลี่ เธอต้องหลบหน้าหลบหลังเพื่อหนีให้พ้นจากการโดนลวก แสงสว่างจ้าทำให้เธอมองอะไรอย่างอื่นไม่เห็น รวมถึงตอนนี้เธอก็มองไม่เห็นหน้าคนที่จับตัวเธอมาแล้วด้วย ขณะคบเพลิงนั้นถูกส่ายไปมามันก็ทิ้งเศษลูกไฟไว้ในอากาศ

“พอแล้ว!” เธอตะโกน “พอได้แล้ว!”

เสียงของเธอแหบพร่าไปหมดจากการตะโกน เธอก็สงสัยเหมือนกันว่าเธอจะเปลืองน้ำลายทำไม เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่หยุดทรมานเธอจนกว่าเธอจะตายนั่นแหละ

ทันใดนั้น เขาหยิบแตรอากาศขึ้นมาบีบเข้าใส่ในรูหูของเธอ

เสียงแตรรถดังลั่น ไรล์ลี่สะบัดความคิดกลับมาปัจจุบัน ในขณะที่มองออกไปเห็นไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยาวเป็นหางว่าวติดอยู่ด้านหลังรถของเธอ เธอจึงเหยียบคันเร่ง

ฝ่ามือยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไรล์ลี่ไล่ความทรงจำออกจากหัวพร้อมกับเตือนตัวเองว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอกำลังจะไปเยี่ยม

มารี เซย์ลส์ ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากเหตุการณ์อันรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เกือบคร่าชีวิตเธอครั้งนั้น เธอตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ภาพความจำเก่าๆกลับมาทำร้ายได้ เธออุตส่าห์จดจ่ออยู่กับการขับรถมาได้ตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วเชียว ซึ่งเธอก็คิดไปว่าเธอทำได้ดีแล้ว

ไรล์ลี่ขับรถเข้าเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านบ้านทรงวิคตอเรียหรูหรา แล้วมาหยุดจอดที่หน้าบ้านเลขที่ที่มารีได้บอกไว้ทางโทรศัพท์ – หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์อิฐมอญสีแดงที่มีแบบเว้าของหน้าต่างยื่นเป็นเหลี่ยมออกมาสวยงาม เธอนั่งต่อในรถอีกชั่วครู่ ไตร่ตรองอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ในขณะที่พยายามรวบรวมความกล้า

เธอลงจากรถในที่สุด ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดก็รู้สึกดีใจที่มารีออกมาต้อนรับเธอที่หน้าประตู ในชุดเรียบๆแต่ดูสวยสง่า มารียิ้มแบบซีดๆ หน้าของเธอดูเหนื่อยและล้า ดูจากถุงใต้ดวงตาเธอแล้ว ไรล์ลี่แน่ใจว่าเธอคงจะผ่านการร้องไห้มาแน่และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เธอกับมารีเจอหน้ากันบ่อยผ่านวิดีโอแชทในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่จะปกปิดกันและกันได้หรอก

เมื่อได้กอดกัน ไรล์ลี่รู้สึกทันทีว่ามารีไม่ได้สูงและแข็งแรงอย่างที่เธอนึกภาพไว้ แม้ว่าจะสวมรองเท้าส้นสูงมารีนั้นก็ยังตัวเล็กกว่าเธอ ร่างเธอบอบบางและตัวก็เล็กนิดเดียว นี่ต่างหากที่ทำให้ไรล์ลี่ประหลาดใจ เธอกับมารีได้คุยกันบ่อยมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอตัวจริงของกันและกัน ร่างเล็กๆของมารียิ่งทำให้เธอดูกล้าหาญมากยิ่งขึ้นที่สามารถเอาตัวรอดจากสิ่งที่เธอประสบมาได้

ไรล์ลี่มองชมบริเวณรอบตัวของเธอ ขณะที่เธอและมารีเดินเข้าไปที่ห้องรับประทานอาหาร สภาพห้องนั้นสะอาดหมดจดมากและตกแต่งอย่างมีรสนิยม โดยปกติแล้วนี่คงเป็นที่พำนักอันแสนสุขของสาวโสดที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากแต่มารีนั้นปิดม่านมิดชิดทำให้ห้องไม่ค่อยสว่าง บรรยากาศมันดูอึดอัดอย่างประหลาด ไรล์ลี่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับนักหรอกว่ามันทำให้เธอนึกไปถึงบ้านของตัวเอง

มารีจัดเตรียมอาหารเที่ยงเบาๆไว้แล้วบนโต๊ะรับประทานอาหารที่เธอกับไรล์ลี่กำลังจะนั่งลงทานอาหารกัน ทั้งสองนั่งกันเงียบๆอย่างอึดอัด ไรล์ลี่นั้นเหงื่อแตกอย่างไม่รู้สาเหตุ การได้พบกับมารีทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างมันหวนกลับมา

“อืม…คุณรู้สึกยังไงบ้าง” มารีถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ที่ได้ออกมาเจอโลกภายนอก”

ไรล์ลี่ยิ้ม มารีนั้นย่อมรู้ดีกว่าใครว่ามันต้องใช้พลังมากแค่ไหนในการขับรถออกมาวันนี้

“ก็โอเคนะ” ไรล์ลี่ตอบ “จริงๆแล้วก็ดีเลยแหละ ฉันแค่เจอช่วงไม่ดีแค่รอบเดียว จริงๆ”

มารีพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“คุณก็ทำสำเร็จแล้วนะ” มารีตอบ “และมันก็กล้าหาญมาก”

กล้าหาญเหรอ ไรล์ลี่คิดในใจ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะใช้สาธยายตัวเองเลย อาจจะเคยเป็น ครั้งนึง ตอนที่เธอยังปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษอยู่ เธอจะกลับไปเรียกตัวเองแบบนั้นอีกได้มั้ยนะ?

“แล้วคุณหล่ะ” ไรล์ลี่ถามกลับ “ออกไปข้างนอกบ่อยมั้ย”

มารีเงียบไป

“คุณไม่ออกนอกบ้านเลยใช่รึเปล่า” ไรล์ลี่ถามอีก

มารีส่ายหน้า

ไรล์ลี่เอื้อมมือไปกุมข้อมือเธอด้วยความเห็นใจ

“คุณต้องลองนะ มารี” เธอให้กำลังใจ “ถ้าคุณปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ มันก็เท่ากับว่าคุณยังถูกมันกักขังเอาไว้อยู่”

มารีปล่อยก้อนสะอื้นออกมาจากลำคอ

“ฉันขอโทษ” ไรล์ลี่เอ่ย

“ไม่เป็นไรหรอก คุณพูดถูก”

ไรล์ลี่สังเกตมารีอีกครู่หนึ่งในระหว่างทั้งสองรับประทานอาหาร แล้วบรรกาศก็ตกอยู่ในความเงียบงันยาวนาน เธอก็อยากจะคิดนะว่ามารีนั้นเป็นปกติดีแล้ว แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามารียังดูเปราะบางจนน่ากังวลเหลือเกิน มันทำให้เธออดคิดถึงตัวเองไม่ได้ “นี่ตัวเธอมีสภาพแย่แบบนี้เหมือนกันรึเปล่านะ”

ไรล์ลี่นึกสงสัยอยู่เงียบๆว่ามันเป็นการดีรึเปล่าที่จะปล่อยให้มารีใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง อาการเธอจะดีขึ้นมั้ยหากมีสามีหรือมีแฟนมาอยู่ด้วย เธอเก็บความสงสัยนี้ไว้ แต่แล้วเธอก็กลับสงสัยเรื่องเดียวกันกับตัวเอง ไรล์ลี่รู้คำตอบสำหรับเธอทั้งสองดี ว่าคงไม่ เธอทั้งคู่ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์หรือความคิดที่จะสานสัมพันธ์กับใคร มันคงจะยิ่งกลายเป็นภาระ

“ฉันเคยขอบคุณคุณรึเปล่า” มารีถามขึ้นทำลายความเงียบ

ไรล์ลี่ยิ้ม เธอเข้าใจดีว่ามารีหมายถึงที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้

“มากมายหลายครั้ง” ไรล์ลี่ตอบ “ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องทำเลย จริงๆ”

มารีใช้ส้อมจิ้มอาหารในจาน

“แล้วฉันเคยขอโทษคุณรึเปล่า”

ไรล์ลี่ประหลาดใจ “ขอโทษเหรอ เรื่องอะไร”

มารีพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ถ้าคุณไม่ไปช่วยฉันออกมา คุณก็คงไม่ถูกมันจับตัวไว้”

ไรล์ลี่บีบมือมารีเบาๆ

“มารี ฉันทำหน้าที่ของฉัน คุณไม่ควรจะต้องมารู้สึกผิดกับสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของคุณ เท่านี้คุณก็มีอะไรให้ต้องจัดการมากพออยู่แล้ว”

มารีพยักหน้าอย่างรับฟัง

“แค่จะลุกออกจากเตียงทุกวันยังเป็นเรื่องยากเลย” เธอยอมรับ “ฉันเดาว่าคุณคงสังเกตเห็นว่าฉันอยู่แบบมืดๆ ไม่ว่าแสงจากอะไรก็ทำให้ฉันนึกถึงคบเพลิงของมัน ฉันทำไม่ได้แม้กระทั่งจะดูทีวีหรือฟังเพลง ฉันกลัวว่าจะมีใครแอบย่องมาข้างหลังโดยที่ฉันไม่ได้ยินเสียง ไม่ว่าเสียงอะไรก็ทำให้ฉันผวาได้แล้ว”

มารีเริ่มร้องไห้เงียบๆ

ฉันไม่สามารถจะมองโลกใบนี้ได้เหมือนเดิมอีก ไม่อีกแล้ว มันมีความชั่วร้ายอยู่ในโลกภายนอก รอบๆตัวเรา ฉันไม่รู้เลย คนเราจะสามารถกระทำเรื่องชั่วช้าได้ขนาดนี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะกลับมาไว้ใจใครอีกได้ยังไง”

ในขณะที่มารีร้องไห้ ไรล์ลี่นั้นอยากให้ความมั่นใจกับเธอเหลือเกิน บอกกับเธอว่าเธอนั้นคิดผิดแล้ว แต่อีกใจนึงไรล์ลี่เองก็ไม่มั่นใจว่าเธอนั้นคิดถูก

และแล้ว มารีก็มองหน้าเธอ

“วันนี้คุณมาที่นี่ทำไม” เธอถามขึ้นมาซึ่งๆหน้า

ไรล์ลี่นั้นไม่ทันตั้งตัวกับคำถามตรงไปตรงมาของเธอ – และความจริงแล้วเธอเองก็ไม่รู้เหตุผลที่เธอมาเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” เธอตอบ “ฉันแค่อยากจะมาเยี่ยมคุณ มาดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง”

“มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” มารีตอบกลับ หรี่ตาลงด้วยความรู้ทัน

บางทีเธออาจพูดถูก ไรล์ลี่คิดในใจ ไรล์ลี่คิดย้อนไปถึงที่บิลมาหาเธอที่บ้าน แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่าเหตุผลที่เธอมาวันนี้จริงๆแล้วก็เพราะเรื่องคดีใหม่นั่นเอง เธอต้องการอะไรจากมารีกันนะ? คำแนะนำงั้นเหรอ? คำอนุญาต? คำพูดให้กำลังใจ? ความมั่นใจ? ใจนึงเธอก็อยากให้มารีบอกว่าเธอมันบ้า เพื่อที่จะได้ปล่อยวางและไม่ต้องไปคิดเรื่องเกี่ยวกับบิลอีก แต่บางทีอีกใจนึงของเธอก็อยากให้มารีสนับสนุนให้เธอรับมัน

ในที่สุด ไรล์ลี่ถอนหายใจ

“มีคดีใหม่น่ะ” เธอบอก “อืม ก็ไม่เชิงว่าใหม่หรอก แต่เป็นคดีเก่าที่ยังไม่ได้รับการสะสางน่ะ”

หน้าของมารีออกอาการเกร็งและเครียดขึ้น

ไรล์ลี่กลืนน้ำลาย

“แล้วคุณก็มาเพื่อถามว่าคุณควรจะทำคดีนี้มั้ยงั้นเหรอ” มารีถาม

ไรล์ลี่ยักไหล่ แต่เธอยังคงมองหน้าและค้นหาความมั่นใจและคำให้กำลังใจในดวงตาของมารี และในชั่วขณะจิตนั้นเองที่เธอรู้ซึ้งว่านี่คือจุดประสงค์แท้จริงที่เธอหวังว่าจะนำพาให้เธอมาเจอ

แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง มารีหลบตาและส่ายหน้าช้าๆ ไรล์ลี่นั้นรออย่างจดจ่อกับคำตอบ หากแต่สิ่งที่ตามมานั้นกลับเป็นความเงียบงันไม่มีที่สิ้นสุด ไรล์ลี่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวอย่างพิเศษบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ภายในมารี

ในความเงียบนั้น ไรล์ลี่มองไปรอบๆอพาร์ทเม้นท์ และสายตาก็หยุดอยู่ที่โทรศัพท์บ้าน เธอรู้สึกแปลกใจที่เห็นสายโทรศัพท์ถูกดึงออกจากปลั๊กกำแพง

“โทรศัพท์คุณเป็นอะไร” ไรล์ลี่ถาม

มารีดูทุกข์อย่างเห็นได้ชัด ไรล์ลี่นึกรู้ได้ทันทีว่าเธอจี้โดนจุดเข้าให้แล้ว

“มันโทรมาไม่หยุดเลย” มารีบอกในเสียงกระซิบที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“ใคร”

“ปีเตอร์สัน”

หัวใจของไรล์ลี่เต้นแรงขึ้นไปถึงคอหอย

“ปีเตอร์สันตายไปแล้ว” ไรล์ลี่ตอบกลับด้วยเสียงสั่นเทา “ฉันเป็นคนจุดไฟเผาที่นั่นเอง พวกเขาเจอศพมันด้วย”

มารีส่ายหน้า

“ที่พวกเขาเจออาจจะเป็นศพของใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ศพของมัน”

ไรล์ลี่รู้สึกได้ถึงคลื่นของความหวาดวิตก สิ่งที่เธอกลัวที่สุดกำลังถูกเรียกกลับมา

“ทุกคนบอกว่าใช่” ไรล์ลี่บอก

“แล้วคุณก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ?”

ไรล์ลี่ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่เวลาจะมาปรับทุกข์กับเธอ ที่สุดแล้วมารีก็คงแค่หลอนประสาทไปเองเท่านั้น แต่เธอจะโน้มน้าวมารีกับสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ยังไง

“มันโทรมาไม่หยุด” มารีบอกอีกครั้ง “มันโทรมาหายใจแล้วก็วางสาย ฉันรู้ว่าต้องเป็นมันแน่ๆ มันยังไม่ตาย มันยังคอยเฝ้าจับตาดูฉัน”

ไรล์ลี่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอันเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามา

“มันก็อาจเป็นแค่พวกโทรศัพท์ลามกน่ะ” เธอบอกและแสร้งทำใจเย็นไม่ตื่นเต้น “แต่ยังไงเดี๋ยวฉันจะให้ที่องค์กรตรวจสอบให้ ฉันจะบอกให้พวกเขาส่งรถลาดตระเวนมานะถ้าคุณยังกลัวอยู่ พวกเขาจะตามจากบันทึกการโทรได้”

“ไม่!” มารีบอกเสียงเฉียบ “ไม่!”

ไรล์ลี่จ้องเธอกลับด้วยสีหน้างุนงง

“ทำไมหล่ะ” เธอถาม

“ฉันไม่อยากทำให้มันโกรธ” มารีตอบด้วยเสียงเศร้าน่าเวทนา

ไรล์ลี่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดวิตก อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่านี่เป็นความคิดที่ผิดมากในการมาที่นี่วันนี้ ถ้าจะได้อะไรกลับไป ก็คงเป็นความรู้สึกที่แย่ลงกว่าเดิม เธอรู้ตัวว่าเธอคงไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องกินข้าวอันแสนอึดอัดนี้ต่อไปได้แม้เพียงอึดใจเดียว

“ฉันต้องกลับแล้ว” ไรล์ลี่บอกพร้อมพูดต่อ “ฉันขอโทษด้วย แต่ลูกสาวฉันกำลังรออยู่”

แล้วจู่ๆมารีก็ตะปบคว้าข้อมือไรล์ลี่ไว้ด้วยแรงที่ไม่รู้มาจากไหน จิกเล็บของเธอลงบนผิวไรล์ลี่

เธอจ้องกลับมา ตาสีฟ้าราวน้ำแข็งของเธอคู่นั้นมีความขึงขังจริงจังบางอย่างที่ทำให้ไรล์ลี่ชักกลัว หน้าหลอนๆนั้นทำให้เธอชาไปถึงจิตวิญญาณ

“รับทำคดีซะ” มารีสนับสนุน

ไรล์ลี่เห็นได้จากดวงตาว่ามารีนั้นกำลังสับสนเอาคดีใหม่มาปนกับคดีปีเตอร์สัน หลับหูหลับตาปนกันมั่วเป็นเรื่องเดียวกัน

“ตามหาไอ้สารเลวนั่น” เธอเสริม “แล้วฆ่ามันให้ฉัน”

บทที่ 5

ชายผู้หนึ่งเดินทิ้งระยะเล็กน้อยตามหลังหญิงสาวอย่างระวังตัว แอบมองเธอแว่บหนึ่ง เขาแสร้งทำเป็นหยิบของจิปาถะใส่ลงตะกร้าดังเช่นคนที่มาซื้อของทั่วไป รู้สึกดีใจที่ตัวเองทำตัวไม่ตกเป็นเป้าสายตาได้สำเร็จ ไม่มีใครเดาได้แน่ว่าเขามีอำนาจยังไง

 

แต่ก็นั่นแหละ ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจใครได้อยู่แล้ว ตอนที่ยังเด็กเขาก็เคยรู้สึกราวกับตัวเองเป็นอากาศธาตุ แล้วท้ายที่สุดตอนนี้เขาสามารถทำให้ความไม่เด่นของเขากลับตกลายเป็นข้อได้เปรียบได้

แค่เพียงเมื่อครู่นี้เองที่ตัวเขายืนอยู่ข้างเธอ ห่างกันแค่ไม่ถึงสองฟุต เธอกำลังจับจดกับการเลือกแชมพูจึงไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย

แต่เขารู้จักเธอดีทีเดียวหละ ว่าเธอมีชื่อว่า ซินดี้ มีสามีเป็นเจ้าของร้านขายภาพศิลปะ และทำงานอยู่ที่คลินิกรักษาฟรีซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดของเธอ ตอนนี้เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครบางคน ฟังจากเสียงแล้วคงเป็นพี่สาวเธอล่ะมั้ง เธอหัวเราะกับบางอย่างที่ใครคนนั้นคุยกับเธอ หน้าของเขาแดงขึ้นด้วยความโกรธ นึกข้องใจว่าเธอกำลังหัวเราะเขารึเปล่า เหมือนที่ผู้หญิงคนอื่นทำกับเขา ความโกรธทวีคูณขึ้น

ซินดี้นั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดกางกางขาสั้นสวมรองเท้าวิ่งออกกำลังที่ดูแล้วน่าจะมีราคาทีเดียว เขาตามดูตั้งแต่เธอวิ่งออกกำลังจากในรถ รอให้เธอวิ่งเสร็จและเดินเข้าไปซื้อของ เขารู้กิจวัตรวันว่างของเธอดี ประเดี๋ยวเธอก็จะเอาของที่ซื้อไว้กลับไปบ้าน วางส่งๆไว้ก่อนแล้วจึงไปอาบน้ำ และขับรถไปกินข้าวกลางวันกับสามี

รูปร่างสวยงามของเธอนั้นต้องขอบคุณการออกกำลังกาย เธออายุราวๆ 30 ปี แต่ผิวรอบต้นขาของเธอนั้นกลับหย่อนๆไม่ตึงอีกแล้ว เธอน่าจะต้องเคยลดน้ำหนักไม่ว่าในช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง แต่น่าจะเพิ่งเร็วๆนี้ ซึ่งเธอก็ดูจะภูมิใจกับมันอยู่

ทันใดนั้น หญิงสาวเดินลิ่วไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงินที่ใกล้ที่สุด ชายหนุ่มตกใจไม่ทันตั้งตัว เธอเลือกซื้อของเสร็จเร็วกว่าปกติ เขารีบไปต่อแถวข้างหลังเธอแทบจะผลักลูกค้าคนอื่นออกให้พ้นทาง นึกตำหนิตัวเองที่ทำเช่นนั้นอยู่ในใจ

ขณะที่พนักงานกำลังคิดเงินสินค้าของเธออยู่นั้น เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกโดยตอนนี้ยืนอยู่ใกล้เธอมาก – ใกล้ขนาดที่ได้กลิ่นจากตัวของเธอที่ตอนนี้มีแต่กลิ่นเหงื่อไคลหลังจากการวิ่งออกกำลังกาย เป็นกลิ่นที่เขานั้นหวังจะดมให้คุ้นจมูกในเวลาอันใกล้นี้ หากแต่เมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะมีอีกหนึ่งกลิ่นที่ผสมรวมเข้ามาปนกันกับกลิ่นนี้ – กลิ่นที่ทำให้เขาหลงไหลไปกับความลึกลับและน่าพิศวง

กลิ่นของความเจ็บปวดและหวาดกลัวยังไงล่ะ

ในชั่วขณะหนึ่ง ชายน่าสงสัยผู้นี้รู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นที่เขารู้สึกหวิวๆในหัว เต็มไปด้วยความตื่นเต้นรอแทบไม่ไหว

หลังชำระเงิน หญิงสาวผลักรถเข็นผ่านออกไปทางประตูกระจกอัตโนมัติและมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ

ชายหนุ่มไม่รีบร้อนจะจ่ายเงินซื้อของในมือแล้วตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องตามเธอกลับบ้าน เขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว – เคยแม้กระทั่งเข้าไปในบ้านของเธอ จัดแจงเสื้อผ้าให้เธอก็เคยมาแล้ว เดี๋ยวเขาค่อยไปเฝ้าเธออีกทีหลังเธอเลิกงาน

ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานหรอก เขานึกในใจ ไม่นานเลยจริงๆ

*

หลังจาก ซินดี้ แมคคินน่อน กลับขึ้นมาบนรถ เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่อีกอึดใจ รู้สึกสั่นๆขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอนึกไปถึงความรู้สึกแปลกๆเมื่อสักครู่ที่เธอเพิ่งรับรู้ได้จากในซูเปอร์มาร์เก็ต มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับมีคนคอยจ้องมองเธออยู่ ซึ่งมันไม่ใช่แค่นั้น เธอใช้เวลาไม่นานก่อนจะตอบตัวเองได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร

เธอมั่นใจในที่สุดว่าเธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องจะทำร้าย

หญิงสาวตัวสั่นระริก หลายวันมานี้ ความรู้สึกนี้มันเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แล้วเธอก็ดุตัวเองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

เธอส่ายหัวเอาความคิดพวกนั้นออกจากสมอง ขณะที่กำลังสตาร์ทรถก็พยายามคิดเรื่องอื่นไปด้วย แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกันกับเบ็คกี้พี่สาวของเธอ เดี๋ยวช่วงบ่ายวันนี้ ซินดี้จะไปช่วยเธอจัดงานวันเกิดให้ลูกสาววัย 3 ขวบ เต็มที่ทั้งเค้กทั้งลูกโป่ง

มันต้องเป็นวันที่สวยงามแน่ๆ เธอคิดในใจ

บทที่ 6

ไรล์ลี่นั่งมาในรถสปอร์ตอเนกประสงค์ข้างๆกับบิล ที่กำลังเปลี่ยนเกียร์เพื่อดันรถสี่ล้อขององค์กรคันนี้ให้ปีนขึ้นเขาไปได้ เธอเช็ดฝ่ามือไปกับขากางเกง เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเหงื่อถึงออก พอๆกับที่เธอก็ไม่รู้ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่นั่นแหละ หลังจากพักงานไปหกสัปดาห์ เธอรู้สึกปรับร่างกายไม่ถูก การได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่นี่มันช่างเหลือจะเชื่อ

ความตึงเครียดอันน่าอึดอัดนี้มันช่างกวนจิตใจไรล์ลี่ยิ่งนัก บิลกับเธอแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยระหว่างระยะทางหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ขับรถมา ทั้งความสนิทสนม ความขี้เล่น ความสามัคคีกัน – ตอนนี้ไม่รู้มันไปไหนหมด ไรล์ลี่คิดว่าเธอรู้ว่าทำไมบิลถึงทำตัวเหินห่าง เขาไม่ได้ทำไปเพราะหยาบคายหรืออะไร – แต่เป็นเพราะความห่วงกังวล เขาเองดูเหมือนจะยังไม่แน่ใจว่าเธอควรจะกลับมาทำงานแล้วหรือ

พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองโมวส์บี้ สถานที่ที่บิลบอกเธอว่าพบเหยื่อฆาตกรรมรายล่าสุด ระหว่างเดินทาง ไรล์ลี่ค่อยๆเก็บรายละเอียดภูมิศาสตร์รอบตัวเธอ ความรู้สึกเดิมของความเป็นมืออาชีพย้อนกลับมา เธอรู้ว่าเธอต้องเรียกสติกลับมา

ตามหาไอ้สารเลวนั่นแล้วฆ่ามันให้ฉัน

คำพูดของมารียังคงหลอนอยู่ในโสตประสาท แนะแนวทางให้เธอ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างง่ายๆ

แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนจะง่ายขนาดนั้น อย่างหนึ่งคือ ตัวเธออดเป็นห่วงเอพริลไม่ได้ การส่งเอพริลไปอยู่บ้านพ่อของเธอไม่ได้เป็นผลดีกับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องเลย แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และไรล์ลี่ไม่อยากจะรอจนถึงวันจันทร์กว่าจะได้เห็นสถานที่เกิดเหตุ

ความเงียบสงัดเริ่มทำให้เธอกระวนกระวายยิ่งขึ้น และเธอรู้สึกจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องพูดอะไรบ้าง นึกหาหัวข้อสนทนาในหัวสุดชีวิต จนในที่สุด เธอก็พูดขึ้นมาว่า:

“แล้วคุณจะบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับแม็คกี้?”

บิลหันมาหาเธอหน้าตาแปลกใจ และเธอเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะเธอทำลายความเงียบขึ้นมา หรือเป็นเพราะคำถามขวานผ่าซาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร เธอก็รู้สึกในทันทีว่าไม่น่าจะพูดออกไปเลย หลายคนเคยบอกว่าความตรงไปตรงมาของเธอนั้นอาจทำให้ใครขุ่นเคือง เธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาขวานผ่าซาก – เธอแค่ไม่มีเวลาจะให้เสียแล้ว

บิลถอนใจ

“เธอคิดว่าผมกำลังมีชู้”

ไรล์ลี่กระตุกด้วยความแปลกใจมาก

“อะไรนะ”

“กับงานของผมน่ะ” บิลตอบกลั้วเสียงหัวเราะฝืดๆ “เธอคิดว่าผมกำลังเป็นชู้กับงาน คิดว่าผมรัก ทั้งหมดนี่ มากกว่ารักเธอ

ผมบอกเธอไปหลายหนแล้วว่าเธอกำลังทำตัวไร้สาระ แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็จบมันไม่ได้อยู่ดี – ไม่ใช่เรื่องงานของผมก็แล้วกัน”

ไรล์ลี่ได้แต่ส่ายหัว

“ฟังแล้วเหมือนไรอันเลย เขาเคยหึงไม่ลืมหูลืมตาสมัยที่เรายังอยู่ด้วยกัน”

เธอหยุดไว้แค่นั้นไม่บอกความจริงทั้งหมดกับบิล สามีเก่าของเธอไม่ได้หึงเธอกับงาน แต่เขาหึงเธอกับบิลต่างหาก เธอเคยสงสัยว่าไรอันอาจจะมีเหตุผลอะไรรึเปล่า ทั้งๆที่มันเต็มไปด้วยความอึดอัดในวันนี้ เธอกลับรู้สึกดีมากแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับบิล ความรู้สึกนั้นมันเกี่ยวกับงานล้วนๆรึเปล่านะ?

“ผมหวังว่าทริปนี้จะไม่เสียเปล่านะ” บิลพูดขึ้น “คุณรู้ใช่มั้ยว่าที่เกิดเหตุมันถูกเคลียร์พื้นที่ไปหมดแล้ว”

“ฉันรู้ ฉันแค่อยากจะเห็นสถานที่จริงด้วยตัวเอง รูปถ่ายกับรายงานมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉัน”

ไรล์ลี่เริ่มรู้สึกวิงเวียน เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะการไต่ระดับความสูงที่พวกเขากำลังขับขึ้นเขาไปเรื่อย ความใจจดใจจ่ออยากจะเห็นก็น่าจะมีส่วนด้วยเหมือนกัน เหงื่อยังคงออกที่ฝ่ามือเธอ

“อีกไกลแค่ไหน” เธอถามขึ้นมาขณะมองป่าที่เริ่มทึบขึ้น ภูมิประเทศเริ่มห่างไกลผู้คนมากขึ้น

“ไม่ไกล”

ไม่กี่นาทีต่อมา บิลเลี้ยวออกจากถนนคอนกรีตเข้าสู่ถนนลาดยางเส้นคู่ รถนั้นเคลื่อนที่ไปด้วยความกระเด้งกระดอนจนมาหยุดอยู่เกือบถึงปากทางเข้าป่าดงดิบ

เขาดับเครื่องยนต์พร้อมกับหันมาทางไรล์ลี่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“คุณแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?” เขาถาม

เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องอะไร เขากลัวว่าเธอจะนึกย้อนไปถึงความทรงจำเลวร้ายตอนโดนจับขัง ไม่เป็นไร เพราะนี่มันคนละคดีกัน และฆาตกรก็คนละคนกัน

เธอพยักหน้า

“ฉันแน่ใจ” เธอบอกอย่างไม่ค่อยเชื่อตัวเองซักเท่าไหร่

ไรล์ลี่ลงจากรถและเดินตามบิลออกนอกถนนเข้าไปบนทางเดินผ่านป่าแคบและรกชัฏ เธอได้ยินเสียงน้ำเซาะลงมาจากธารน้ำใกล้ๆ ขณะที่ป่าไม้นั้นรกทึบมากขึ้น เธอเองก็ต้องเดินฝ่าสารพัดกิ่งไม้เตี้ยๆที่ห้อยเป็นอุปสรรคระหว่างทาง และหนามต้นไม้เล็กยิบย่อยเริ่มที่จะเกาะติดขากางเกงเธอแล้ว เธอดูหงุดหงิดเมื่อคิดว่าเดี๋ยวจะต้องมานั่งดึงหนามออกทีละอัน

ในที่สุดเธอและบิลก็มาโผล่ตรงแอ่งลำธาร ไรล์ลี่นั้นเหมือนต้องมนต์ในทันทีกับความสวยงามของสถานที่ แสงยามบ่ายส่องผ่านหมู่ใบไม้ลงมาตกกระทบบนผืนน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกจนดูน่าเวียนหัว เสียงไหลเซาะของสายน้ำจังหวะสม่ำเสมอนั้นฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย มันน่าแปลกที่คิดว่าที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุของอาชญากรรมที่แสนโหดร้าย

“เธอถูกพบตรงนี้” บิลพูดขึ้น เดินนำเธอไปตรงหินก้อนใหญ่

เมื่อเดินมาถึงตรงนั้น ไรล์ลี่ยืนพินิจสิ่งรอบตัวพร้อมสูดหายใจลึก ถูกแล้ว เธอทำถูกแล้วที่มาที่นี่ เธอเริ่มจะรู้สึกแบบนั้น

“ภาพถ่ายล่ะ” ไรล์ลี่ถามหา

เธอนั่งยองๆลงข้างบิลบนหินก้อนใหญ่นั้น และเริ่มพลิกทีละหน้าดูแฟ้มที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ในช่วงสั้นๆหลังจากที่ศพของ

รีบ้า ฟราย ถูกค้นพบ อีกแฟ้มหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยรายงานและภาพถ่ายของคดีเก่าที่เธอและบิลสืบสวนเมื่อหกเดือนก่อน – คดีอันที่พวกเขาปิดไม่สำเร็จ

ภาพถ่ายเหล่านั้นดึงความทรงจำแสนเด่นชัดของฆาตกรรมรายแรก พาเธอย้อนเวลากลับไปยังฟาร์มชนบทแห่งนั้นใกล้กับเมืองแด็กเก็ตต์ เธอจำได้ว่าโรเจอร์สถูกจัดวางท่าทางคล้ายๆกันพิงไว้อยู่กับต้นไม้

“เหมือนคดีเก่าของเรามาก” ไรล์ลี่สังเกต “ผู้หญิงทั้งคู่อายุราวสามสิบกว่า ทั้งคู่มีลูกเล็กๆ นั่นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของวิธีปฏิบัติการของคนร้าย มันคงต้องมีปมเรื่องแม่ เราต้องเช็คไปยังกลุ่มผู้ปกครอง ลองหาดูว่าผู้หญิงสองคนนี้หรือลูกของทั้งสองมีอะไรเกี่ยวพันกันรึเปล่า”

“ผมจะให้คนไปตรวจสอบ” บิลบอก ขณะกำลังจดบันทึก

ไรล์ลี่เทรูปถ่ายและรายงานออกมาดูต่อ เปรียบเทียบภาพถ่ายกับสถานที่จริง

“วิธีรัดคอก็เหมือนกัน, ใช้ริบบิ้นสีชมพู” เธอจับสังเกต “วิกผมอีกแล้ว แล้วยังมีดอกกุหลาบพลาสติกด้านหน้าศพอีก”

ไรล์ลี่ถือรูปถ่ายสองใบเทียบอยู่ข้างกัน

“ตาโดนเย็บเปิดไว้เหมือนกันด้วย” เธอพูดขึ้น “ถ้าฉันจำไม่ผิด ผู้เชี่ยวชาญพบว่าตาของโรเจอร์สถูกเย็บหลังการตาย กับ

ฟรายล่ะเหมือนกันมั้ย?”

“ใช่ ผมเดาว่ามันคงต้องการบังคับให้พวกเธอต้องดูมันต่อถึงแม้จะตายไปแล้ว”

อยู่ๆไรล์ลี่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เธอเกือบจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว เธอจะรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ข้อมูลบางอย่างในคดีกำลังจะลงล็อคและไขกระจ่าง เธอไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกยังไง มีกำลังใจ หรือ หวาดกลัว

“ไม่ใช่” เธอบอก “ไม่ใช่แบบนั้น มันไม่สนหรอกว่าพวกเธอจะมองเห็นมันรึเปล่า”

“ถ้างั้น มันทำแบบนั้นทำไม”

ไรล์ลี่ไม่ตอบ ความคิดเริ่มที่จะหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาแต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกออกมาเป็นคำพูดใดๆ – ไม่แม้แต่กับตัวเธอเอง

เธอวางรูปถ่ายสองใบลงบนหิน ชี้จุดรายละเอียดแก่บิล

“มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว” เธอบอกเขา “ศพไม่ได้ถูกจัดวางไว้อย่างดีก่อนหน้าที่เมืองแด็กเก็ตต์ มันพยายามจะเคลื่อนย้ายศพตอนที่ศพมันแข็งทื่อไปแล้ว ถ้าให้ฉันเดา ฉันว่าครั้งนี้มันพาเหยื่อมาที่นี่ก่อนสภาพศพจะแข็งตัว ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่มันจะจับเธอจัดท่าทางได้อย่าง…”

เธอพยายามสะกดความอยากจะจบประโยคลงด้วยคำว่า “อย่างสวยงาม” ไว้ และแล้วเธอก็ตระหนักว่านั่นคือชนิดของคำที่เธอมักเอามาใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก่อนการถูกจับไปกักขังทรมาน ใช่แล้ว จิตวิญญาณเธอกำลังกลับมาแล้ว และเธอก็เริ่มรู้สึกถึงความหมกมุ่นเดิมๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายใน คงไม่มีการใส่เกียร์ถอยแล้วในอีกไม่นานนี้

แต่แบบนั้นมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันนะ?

“ที่ตาของฟรายเป็นอะไรน่ะ” เธอถามพลางชี้ไปที่รูปถ่าย “สีฟ้านั่นดูไม่เหมือนของจริงเลย”

“คอนแท็คเลนส์” บิลตอบ

ความรู้สึกเสียวสันหลังของไรล์ลี่เริ่มหนักขึ้น ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ไม่เคยมีคอนแท็คเลนส์ มันเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญ

“แล้วที่เป็นเงาๆบนผิวหนังของเธอล่ะ” เธอถามต่อ

“วาสลีน” บิลตอบ

ข้อแตกต่างสำคัญอีกหนึ่งข้อ เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอเริ่มเข้าที่เข้าทางด้วยความเร็วสูง

“ทีมนิติเวชอธิบายเรื่องวิกผมนี่ว่ายังไง” เธอถามบิล

“ยังไม่มีอะไร นอกจากที่มันถูกเย็บต่อกันมาจากเศษๆของวิกผมราคาถูก”

ไรล์ลี่ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก ในคดีที่แล้ว ฆาตกรใช้แค่วิกผมอันเดียวธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เอาหลายๆอันมาเย็บติดกัน อย่างกุหลาบนี่ก็เหมือนกัน มันราคาถูกซะจนทีมนิติเวชก็ไม่สามารถจะตามร่องรอยได้ ไรล์ลี่รู้สึกได้ว่าชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์นั้นกำลังจะถูกประกอบแล้ว – ไม่ใช่จิ๊กซอว์ทั้งหมด แต่ก็เป็นชุดใหญ่เลยหละ

“นิติเวชมีแพลนจะทำยังไงกับวิกผมบ้าง” เธอถามอีก

“เหมือนคราวที่แล้ว – สืบค้นหาจากใยสังเคราะห์ แล้วพยายามเจาะตามร้านขายเครื่องประดับผมต่างๆ”

“พวกเขากำลังเสียเวลาเปล่า” ไรล์ลี่พูดออกมา และสะดุ้งไปกับเสียงพูดดุดันด้วยความมั่นใจของตัวเอง

บิลมองหน้าเธอ ไม่ทันตั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไม”

เธอรู้สึกถึงการหมดความอดทนอันคุ้นเคยกับบิล ความรู้สึกนี้ที่เธอจะมีเวลาที่คิดอะไรล่วงหน้านำเขาไปสองสามก้าว

“ดูนี่ ดูรูปที่มันพยายามจะสื่อให้เราเห็น คอนแท็คเลนส์สีฟ้าทำให้ดวงตาดูเหมือนของปลอม เปลือกตาถูกเย็บไว้ทำให้ดูเหมือนตาเบิกโพลง ร่างกายจัดวางไว้เป็นระบบ ขาแผ่ออกในลักษณะแปลกๆ วาสลีนทำให้ผิวหนังดูเหมือนพลาสติก วิกผมเย็บติดกันจากเศษวิก

หลายๆอัน – ไม่ใช่จากเศษวิกผมของคน แต่เป็นเศษวิกผมของตุ๊กตา มันต้องการให้เหยื่อดูเหมือนตุ๊กตา – เหมือนตุ๊กตาล่อนจ้อนในตู้โชว์”

“พระเจ้า” บิลอุทาน จดบันทึกด้วยความตื่นเต้น “ทำไมคราวที่แล้วเราถึงคิดไม่ออก ตอนที่อยู่เมืองแด็กเก็ตต์น่ะ”

คำตอบมันชัดเจนมากสำหรับไรล์ลี่ ซึ่งเธอได้แต่อดกลั้นเสียงคำรามด้วยหมดความอดทน

“มันยังไม่เก่งพอ” เธอบอก “มันยังคิดหาวิธีว่าจะสื่อความนัยนี้ยังไงอยู่เลย คงจะเรียนไปทำไปนั่นแหละ”

บิลเงยหน้าขึ้นจากสมุดโน๊ตแล้วส่ายหน้าอย่างชื่นชม

“ให้ตาย ผมคิดถึงคุณจริงๆ”

ถึงไรล์ลี่จะรู้สึกปลื้มกับคำชมนั้นมากเท่าไหร่ เธอก็รู้ดีว่ายังมีที่เด็ดกว่านี้ที่เธอจะคิดได้อีก และเธอก็รู้จากประสบการณ์แรมปีว่าไปบังคับความคิดให้มันมาไม่ได้ เธอแค่ต้องผ่อนคลายและปล่อยให้มันแล่นมาหาเธอเอง เธอนั่งยองๆบนหินอย่างเงียบๆ รอให้ความคิดมันแล่นมา ขณะที่รอไปเธอก็หยิบหนามออกจากขากางเกงไปด้วย

 

อะไรมันจะยุ่งวุ่นวายอย่างนี้ เธอนึกในใจ

ทันใดนั้น สายตาของเธอก็หยุดอยู่บนหินใต้ฝ่าเท้าเธอ มีหนามเล็กอื่นๆอยู่ตรงนั้น บางอันเต็มแท่งบางอันก็หักเป็นส่วน วางรวมอยู่ในกองหนามที่เธอเพิ่งจะดึงออกเมื่อสักครู่

“บิล” เธอเรียกเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “หนามเล็กๆพวกนี้มันอยู่ตรงนี้รึเปล่าตอนที่คุณพบศพ”

บิลยักไหล่ก่อนตอบ “ผมไม่รู้”

มือของเธอทั้งสั่นทั้งเหงื่อออกมากว่าปกติ เธอคว้ากองรูปถ่ายแล้วสับดูเรื่อยๆจนเจอภาพด้านหน้าของศพ ตรงนั้น ระหว่างขาที่วางเหยียดของเธอ ตรงแถวๆดอกกุหลาบ มีรอยเปื้อนเล็กน้อยเป็นกลุ่ม นั่นคือกลุ่มหนาม – หนามที่เธอเพิ่งจะพบ แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสำคัญเลย ไม่มีใครใส่ใจจะถ่ายรูปมันให้ใกล้ ให้ชัดกว่านี้ และก็ไม่มีใครใส่ใจแม้กระทั่งจะปัดมันออกเพื่อทำความสะอาดตอนที่เคลียร์พื้นที่เกิดเหตุ

ไรล์ลี่หลับตาลง ปล่อยให้จินตนาการพาเธอแล่นไป รู้สึกมึนงงและเวียนหัว นี่เป็นอาการที่เธอรู้จักดีเลยทีเดียว – ความรู้สึกที่เหมือนกำลังหล่นลงไปในนรก ลงไปในโพรงความมืด ลงไปในห้วงความคิดของฆาตกร เธอกำลังคิดเอาใจเธอไปใส่ใจของมัน เอาตัวเธอเข้าไปสู่ประสบการณ์ของมัน ในสถานที่อันตรายและน่ากลัว แต่นี่ก็คือที่ของเธอ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เธอจึงอ้าแขนรับมันเอาไว้

ไรล์ลี่รับรู้ได้ถึงความมั่นใจของฆาตกรขณะที่มันลากศพลงไปตามทางสู่ธารน้ำ มั่นใจมากว่าจะไม่มีใครจับได้ ไม่รีบเลยแม้แต่น้อย คงจะมีฮัมเพลงและผิวปากด้วยซ้ำ

เธอเห็นถึงความอดทน ความประณีต และฝีมือ ขณะที่มันกำลังจัดท่าทางให้ศพบนหินโขดใหญ่

เธอมองเห็นเหตุการณ์น่าเขย่าขวัญนี้ผ่านมุมมองของมัน รู้สึกได้ถึงความพึงพอใจเป็นอย่างมากกับงานที่เสร็จสิ้นลงด้วยดี – ความรู้สึกเดียวกันกับความอิ่มเอมใจเวลาที่เธอไขปริศนาคดีได้ มันต้องเคยนั่งยองๆบนโขดหินนี้มาก่อน หยุดพักเหนื่อยไปเพียงครู่ – หรือจะหยุดนานแค่ไหนก็ได้ที่มันต้องการ – แล้วชื่นชมกับงานฝีมือของตัวเอง

แล้วขณะที่มันทำเช่นนั้น มันก็ดึงหนามออกจากกางเกงไปด้วย ค่อยดึงอย่างไม่รีบร้อน ไม่ได้ใส่ใจที่จะรอให้ตัวเองหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยจัดการดึงหนามออกหรืออะไร และเธอก็แทบจะได้ยินเสียงของมันเอ่ยสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป

“อะไรมันจะยุ่งวุ่นวายอย่างนี้”

ถูกแล้ว มันถึงขนาดมีเวลามานั่งดึงหนามออก

ไรล์ลี่อ้าปากค้าง ดีดเปลือกตาลืมขึ้น สัมผัสจากหนามในมือของเธอทำให้เธอเห็นว่ามันเหนียวหนึบหนับและตรงปลายแหลมนั่นก็คมพอที่จะทิ่มจนเลือดออกได้

“เก็บพวกหนามนี่ไปเป็นหลักฐาน” เธอสั่ง “เราอาจจะเจอดีเอ็นเอบางอย่างก็ได้”

ตาของบิลเบิกโตขึ้นพร้อมดึงถุงซิปและคีมคีบออกมาในทันที ขณะที่เขากำลังทำงาน สมองของเธอก็แล่นต่อไป ยังไม่เสร็จสิ้นซะทีเดียว

“พวกเราคาดการณ์ผิดมาตลอด” เธอเสริม “นี่ไม่ใช่เหยื่อรายที่สองของมัน แต่เป็นรายที่สามต่างหาก”

บิลหยุดและเงยหน้ามองเธออย่างตกตะลึง

“คุณรู้ได้ยังไง?” บิลถาม

ร่างกายของไรล์ลี่บีบรัด ขณะเธอพยายามจะควบคุมความสั่นเทิ้มของร่างกาย

“มันเริ่มจะเก่งมากเกินไปแล้ว ระยะฝึกหัดจบลงแล้ว มันกลายเป็นมืออาชีพไปแล้วในตอนนี้ และโชคก็เพิ่งจะเข้าข้างมัน มันรักในการทำงาน ไม่สิ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สาม เป็นอย่างน้อย

คอของเธอเริ่มฝืด เธอกลืนน้ำลายแรง

“และเวลาก็เหลือไม่มากพอก่อนจะมีรายต่อไปเกิดขึ้น”