Kostenlos

วั๊นซ์ กอน

Text
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 2

“มันแย่ลงทุกวันสำหรับเธอ” แซม ฟลอเรส พูดขึ้น พร้อมดึงอีกภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาบนจอโปรเจ็คเตอร์ผ่านเลนส์เครื่องฉายมัลติมีเดียที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะประชุม “ไล่มาจนถึงตอนที่มันเก็บเธอเลย”

บิลก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังเกลียดที่เขาคิดถูก

องค์กรได้ส่งร่างของเธอไปที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้ หน่วยนิติเวชได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว และได้เริ่มดำเนินการตรวจวิจัยในห้องแล็ปแล้ว ฟลอเรส,เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปสวมแว่นขอบสีดำ, เปิดหน้าสไลด์อันน่าสยดสยองต่อไปเรื่อยๆ และตอนนี้จอภาพโปรเจ็คเตอร์ขนาดมหึมาในห้องประชุมของหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเหลือบมอง

“เธอเสียชีวิตมานานเท่าไหร่ก่อนศพจะถูกพบ?” บิลถามขึ้น

“ไม่นาน” เขาตอบ “อาจจะประมาณช่วงค่ำของวันก่อนหน้า”

ข้างๆบิลนั้น สเปลเบร็นก็นั่งอยู่ด้วย เขาบินมาควอนติโก้กับบิลหลังกลับจากยาร์เนล ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นคือหัวหน้าทีม เจ้าหน้าที่พิเศษ เบรนท์ เมอเรดิธ เมอเรดิธลุกขึ้นยืนบดบังภาพสุดสลดด้วยร่างกายกว้างใหญ่กำยำและด้วยรูปหน้าเป็นเหลี่ยมขึงขังเอาจริง ไม่ใช่ว่าบิลจะกลัวเขาหรอกนะ – ไม่เลยแม้แต่น้อย เขาอยากจะคิดว่าเรามีอะไรที่คล้ายๆกันมากกว่า เขาทั้งสองผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนและต่างก็เห็นโลกมาหมดแล้ว

ฟลอเรสเปิดภาพแบบซูมอินที่บาดแผลของเหยื่อติดต่อกันหลายภาพ

“บาดแผลทางด้านซ้ายนั้นโดนมาซักพักแล้ว” เขากล่าว “ส่วนบาดแผลทางด้านขวานั้นเพิ่งได้รับมา บางแผลก็เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆไม่กี่ชั่วโมงหรือแม้กระทั่งไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะรัดคอเธอด้วยริบบิ้น ดูเหมือนฆาตกรจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆระหว่างช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่เขาจับเธอมา การหักแขนของเธอคงเป็นการลงมือรอบสุดท้ายในระหว่างที่เธอยังมีชีวิต” “ร่องรอยบาดแผลสำหรับผมมันดูเหมือนฝีมือของผู้ต้องสงสัยคนนึง” เมอเรดิธบอกสิ่งที่สังเกต “ดูจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นฝีมือผู้ชาย มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมั้ย?”

“ดูจากรอยจิ้มเล็กๆบนหนังศีรษะ สันนิษฐานว่าเธอคงจะถูกโกนหัวสองวันก่อนโดนฆาตกรรม” ฟลอเรสอธิบายต่อ “วิกผมนั้นก็เป็นเศษจากวิกผมราคาถูกหลายๆอันมาเย็บต่อกัน คอนแท็คเลนส์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะสั่งซื้อแบบจัดส่งไปรษณีย์มา แล้วอีกอย่าง” เขาหยุดมองไปที่หน้าทุกคน พูดอย่างลังเล “มันทาตัวเธอด้วยวาสลีน”

บิลรู้สึกได้ถึงระดับความตึงเครียดในห้องประชุมที่ค่อยเพิ่มมากขึ้น

“วาสลีนเหรอ?” เขาถาม

ฟลอเรสพยักหน้า

“เพื่ออะไร?” สเปลเบร็นถามบ้าง

ฟลอเรสยักไหล่และตอบ

“นั่นเป็นหน้าที่ของคุณ”

บิลนึกย้อนไปถึงนักท่องเที่ยวสองคนที่เขาสอบสวนเมื่อวาน พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ตัดสินใจไม่ได้ระหว่างความอยากรู้อยากเห็นอันไม่สมควรกับความหวาดวิตกกับสิ่งที่ได้พบเจอมา พวกเขากุลีกุจอที่จะกลับไปบ้านที่อาร์ลิงตั้นและเราก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะคุมตัวพวกเขาไว้ได้ พวกเขาโดนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ จนครบทุกคนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังระวังตัวไม่ปริปากบอกออกมาว่าได้เห็นอะไรมาบ้าง

เมอเรดิธถอนหายใจและวางมือทั้งสองลงบนโต๊ะ

“ทำได้ดีมาก ฟลอเรส” เมอเรดิธกล่าวชม

ฟลอเรสดูซาบซึ้งกับคำชม—ระคนความแปลกใจด้วยนิดหน่อย เบรนท์ เมอเรดิธไม่ใช่คนที่จะชมอะไรใครง่ายๆ

“เอาหละ เจ้าหน้าที่พิเศษเจฟฟรี่ส์” เมอเรดิธหันหน้ามาทางเขา “อธิบายให้เราฟังหน่อยสิว่ามันมีความเกี่ยวพันกับคดีเก่าของคุณยังไง”

บิลสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้

“ประมาณเมื่อหกเดือนก่อน” เขาเริ่มสาธยาย “อันที่จริงก็ประมาณวันที่ 16 ธันวาคม – ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ถูกพบในฟาร์มใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ผมถูกเรียกตัวให้เข้าสืบสวนด้วยกันกับคู่หูของผมคือ ไรล์ลี่ เพจ อากาศวันนั้นมันหนาวจับจิต และสภาพศพก็แข็งราวกับหิน มันยากที่จะบอกได้ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่นั่นนานเท่าไหร่แล้ว และเวลาที่เหยื่อเสียชีวิตก็ไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด ฟลอเรส ช่วยแชร์ข้อมูลให้พวกเขาดูหน่อย”

ฟลอเรสหันกลับไปที่หน้าแผ่นสไลด์ ในจอภาพถูกแยกเป็นหน้าต่างย่อยออกมาและข้างๆรูปที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว เผยให้เห็นรูปภาพเซ็ตใหม่ที่เพิ่งถูกเรียกขึ้นมา รูปของเหยื่อทั้งสองถูกวางเทียบข้างกัน บิลอ้าปากหวอ มันยอดไปเลย นอกเหนือจากเนื้อที่แข็งเป็นหินของศพนึงแล้ว ศพทั้งสองนั้นแทบจะมีสภาพเหมือนกัน บาดแผลแทบไม่ต่างกันเลย หญิงสาวทั้งสองโดยเย็บตาเปิดไว้ในสภาพน่าอนาถเหมือนกัน

บิลถอนหายใจ เห็นรูปพวกนี้แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติภารกิจมาแล้วกี่ปี แต่เห็นรูปเหยื่อทีไรก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ

“ศพของโรเจอร์สถูกพบในท่านั่งหลังตรงพิงอยู่กับต้นไม้” บิลเล่าต่อ เสียงของเขานั้นดูจริงจังมากขึ้น “ไม่ได้จัดท่าเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดเหยื่อในคดีที่โมวส์บี้พาร์ค ไม่มีคอนแท็คเลนส์หรือวาสลีน แต่รายละเอียดส่วนมากนั้นเหมือนกันทุกประการ ผมของโรเจอร์สโดนหั่นสั้น ไม่ได้ถูกโกนผม แต่สภาพวิกผมที่เอามาเย็บต่อๆกันนั้นเหมือนกัน เธอโดนรัดคอด้วยริบบิ้นสีชมพูเหมือนกัน และดอกกุหลาบพลาสติกก็ถูกพบวางอยู่ด้านหน้าศพของเธอ”

บิลหยุดเล่าชั่วครู่ เขาไม่อยากจะพูดสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปเลย

“เพจกับผมปิดคดีนี้ไม่สำเร็จ”

สเปลเบร็นหันมาทางเขา

“มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาถามขึ้น

“แล้วอะไรหล่ะที่ไม่ได้เป็นปัญหา?” บิลย้อนกลับ รีบปกป้องตัวเองอย่างไม่จำเป็นเลย “เราไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีพยาน ครอบครัวของเหยื่อไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ โรเจอร์สเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่มีสามีเก่า ไม่มีแฟนขี้หึง มันไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการที่เธอกลายมาเป็นเป้าหมายและถูกสังหารเลย คดีก็เลยโดนเก็บเข้ากรุไปในทันที”

บิลรู้สึกถึงความเงียบงัน ความคิดในแง่ลบถาโถมเข้ามาในสมองของเขา

“อย่าคิดแบบนั้น” เมอเรดิธพูดในเสียงที่อ่อนโยนในแบบที่ไม่ใช่ลักษณะของเขา “มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ยังไงซะ คุณก็ไม่สามารถจะหยุดการฆาตกรรมรายใหม่ได้หรอก”

บิลรู้สึกขอบคุณกับคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างแรง ทำไมเขาถึงไขคดีนั้นไม่สำเร็จนะ? ทำไมไรล์ลี่ถึงแก้ปมไม่ได้นะ? มันก็มีหลายครั้งในอาชีพเหมือนกันที่เขารู้สึกใบ้รับประทาน

ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเมอเรดิธก็ดังขึ้น และเขากดรับสาย

เกือบจะเป็นสิ่งแรกที่เขาเอ่ยออกมา คือคำว่า “ตายห่าแล้ว”

เค้าพูดซ้ำๆอีกหลายครั้ง และถามกลับว่า “คุณแน่ใจนะว่าเป็นเธอ?” เขาหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่ง “มีการติดต่อเรื่องเงินค่าไถ่มาแล้วรึยัง”

เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปนอกห้องประชุม ปล่อยให้สามหนุ่มนั่งอยู่ในความเงียบด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็กลับเข้ามา ดูแก่ลงไปเลย

“สุภาพบุรุษทั้งหลาย เราอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วตอนนี้” เขาประกาศ “เราเพิ่งได้รับการยืนยันตัวตนของเหยื่อรายเมื่อวานนี้ เธอชื่อ รีบ้า ฟราย”

บิลอ้าปากค้างราวกับว่าเขาเพิ่งโดนอัดเข้าที่หน้าท้อง เขาเห็นว่าสเปลเบร็นก็ช็อคไปเหมือนกัน แต่ฟลอเรสนั้นยังดูงุนงงสับสน

“ผมควรจะต้องรู้มั้ยว่าเธอเป็นใคร” ฟลอเรสเอ่ยถาม

“ชื่อกลางคือ นิวโบร” เมอเรดิธอธิบาย “บุตรสาวของท่านวุฒิสมาชิก มิช นิวโบร – ผู้ซึ่งอาจจะได้เป็นผู้ว่าราชการของรัฐเวอร์จิเนียคนต่อไป”

ฟลอเรสถอนหายใจเฮือก

“ผมไม่เคยได้ยินเลยนะว่าเธอหายตัวไป” สเปลเบร็นเอ่ยออกมา

“มันไม่ได้ถูกรายงานอย่างเป็นทางการ” เมอเรดิธตอบ “พ่อของเธอได้รับการติดต่อไปแล้ว และ แน่นอน เขาคิดว่ามันต้องเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องทางการเมือง หรือเรื่องส่วนตัว หรือทั้งสองอย่าง ไม่ได้สนว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกันนี้เคยเกิดขึ้นกับเหยื่ออีกรายหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน”

เมอเรดิธส่ายหัว

“ท่านวุฒิสมาชิกเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนี้มาก” เขาเสริม “พายุนักข่าวกำลังจะโหมลงมาแล้ว ท่านต้องจี้พวกเราเหมือนไฟลนก้นแน่นอน”

หัวใจบิลหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเกลียดความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขาจะหนีมันไม่พ้น แต่นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้

ความเงียบงันแผ่เข้าปกคลุมห้อง

ในที่สุด บิลกลืนน้ำลายก่อนพูด

“เราต้องการทีมช่วยเหลือ” เขาเอ่ย

เมอเรดิธหันไปทางเขาและบิลก็ประสานเข้ากับสายตาที่จับจ้องเขาเขม็ง ทันใดนั้น หน้าของเมอเรดิธก็ขมวดไปด้วยความกังวลและไม่เห็นด้วย เขารู้แน่นอนว่าบิลกำลังคิดจะทำอะไร

“เธอยังไม่พร้อม” เมอเรดิธตัดบท รู้ทันว่าบิลสื่อว่าให้เรียกตัวเธอกลับมา

บิลถอนหายใจ

“ท่านครับ” เขาเริ่ม “เธอรู้จักคดีนี้ดีกว่าทุกคน แล้วเธอก็มีไหวพริบดียิ่งกว่าใคร”

หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ บิลพูดต่อในสิ่งที่เขาคิด

“ผมไม่คิดว่าเราจะทำได้โดยไม่มีเธอ”

เมอเรดิธเคาะปากกาลงบนกระดาษสองสามครั้ง ราวกับกำลังขอให้ตัวเขานั้นหายตัวไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้

“มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาด” เขากล่าว “และถ้าเธอรับมันไม่ไหว มันคือความผิดของคุณ” เขาหายใจทิ้งอีกครั้ง “โทรตามเธอมา”

บทที่ 3

เด็กสาววัยรุ่นที่มาเปิดประตูนั้นทำหน้าราวกับจะกระแทกประตูใส่หน้าของบิล แต่เธอก็หมุนตัวกลับแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งประตูเปิดค้างไว้

บิลเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน

“สวัสดี เอพริล” เขาพูดออกมาแบบอัตโนมัติ

ลูกสาวหน้าบูดตัวแสบวัย 14 ปี ที่ได้ผมสีเข้มกับตาสีน้ำตาลอ่อนจากแม่มาไม่ตอบอะไรเขา อยู่ในชุดเสื้อทีเชิร์ตตัวโคร่งหัวเหอยุ่งเหยิง เอพริลเดินเลี้ยวเข้ามุมแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ไม่สนใจกับสิ่งรอบตัวนอกจากหูฟังกับโทรศัพท์มือถือ

บิลยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะต้องทำเช่นไร เมื่อตอนที่เขาโทรหาไรล์ลี่ เธอตกลงให้เขามาหาได้แม้ว่าจะยังดูลังเลอยู่ซักหน่อย หรือว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว?

บิลกวาดตามองไปรอบๆในขณะที่เขาขยับเข้ามาในตัวบ้านที่มีแสงทึมๆ เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่นและเห็นว่าทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนลักษณะของไรล์ลี่ หากแต่เขาก็สังเกตเช่นกันว่ามู่ลี่ที่ดึงลงมาปิด คราบฝุ่นเป็นแผ่นที่เกาะบนเฟอร์นิเจอร์นั่นไม่เหมือนกับนิสัยของเธอเลย บนชั้นวางหนังสือเขามองเห็นนิยายปกอ่อนระทึกขวัญใหม่เอี่ยมที่เขาซื้อให้เธอในช่วงพักงานหวังให้เธอไม่ต้องไปคิดมากกับปัญหา วางเรียงรายอยู่เป็นแถว ไม่มีเล่มไหนโดนแกะออกอ่านเลย

เขารู้สึกหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น นี่มันไม่เหมือนไรล์ลี่ที่เขารู้จัก เมอเรดิธจะพูดถูกรึเปล่านะ? เธอต้องการเวลาพักมากกว่านี้รึเปล่า? เขากำลังตัดสินใจผิดที่มาขอให้เธอช่วยตอนที่เธอยังไม่พร้อมรึเปล่า?

บิลรวบรวมสติพร้อมกับเดินลึกเข้าไปในตัวบ้านที่มืดทึบ และขณะที่เขาเดินเลี้ยวเข้ามุม เขาก็พบไรล์ลี่อยู่คนเดียวในห้องครัว นั่งอยู่ที่โต๊ะฟอร์มิก้าในชุดคลุมอยู่บ้านกับรองเท้าแตะ มีถ้วยกาแฟวางอยู่ตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นและเขาก็เห็นเสี้ยวหนึ่งของความอับอายราวกับเธอลืมไปว่าเขาจะมาหา แต่เธอก็กลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มบางๆพร้อมกับลุกขึ้น

เขาเดินเข้าไปกอดเธอ และเธอก็กอดตอบเขาหลวมๆ เธอดูเตี้ยกว่าเขานิดหน่อยในรองเท้าแตะ เธอผอมลงไปมากและเขาก็วิตกมากยิ่งขึ้น

เขาเดินมานั่งตรงข้ามกับเธอที่โต๊ะและมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ผมเธอดูสะอาดแต่ก็ไม่ได้หวีให้เรียบร้อย และดูเหมือนเธอจะสวมรองเท้าแตะนั่นมาหลายวันแล้ว หน้าของเธอดูโทรม ซีดมาก และดูแก่ลงไปมากจากที่เขาเห็นเธอล่าสุดเมื่อห้าสัปดาห์ที่แล้ว เธอดูราวกับไปท่องนรกมา ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช่ เขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่ฆาตกรรายก่อนทำอะไรไว้กับเธอ

 

ไรล์ลี่เบนสายตามองไปทางอื่น แล้วทั้งสองก็นั่งอยู่ในความเงียบสงัด บิลมั่นใจว่าเขาจะรู้ว่าจะต้องพูดให้กำลังใจเธออย่างไร แต่เขากลับได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความเศร้าของเธอและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาต้องการเห็นเธอแข็งแรงกว่านี้ เหมือนเธอคนเก่า

บิลรีบซ่อนซองเอกสารเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมชิ้นใหม่บนพื้นข้างเก้าอี้ เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะเอาให้เธอดู และเริ่มแน่ใจว่าเขาทำพลาดแล้วที่มาที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการเวลามากกว่านี้ ด้วยความสัตย์จริงการได้มาเห็นเธอที่นี่ในวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจเป็นครั้งแรกว่าคู่หูอันยาวนานของเขาจะกลับมา

“กาแฟมั้ย” เธอถาม บิลรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของเธอ

เขาส่ายหัว เธอดูเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตอนที่เขาไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลและแม้ว่าจะหลังจากที่เธอกลับมาบ้านแล้ว เขาก็ยังเป็นกังวลกับเธอ เขาเคยสงสัยว่าเธอจะดึงตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ในก้นบึ้งของความมืดมิดอันยาวนาน มันดูไม่ใช่เธอเลย เธอเคยดูไร้เทียมทานไม่ว่าในคดีไหน มีบางอย่างเกี่ยวกับคดีที่แล้ว เจ้าฆาตกรรายที่แล้ว มันดูแตกต่างไป บิลเข้าใจอย่างที่สุด เจ้าฆาตกรรายนั้นมันโรคจิตบิดเบี้ยวที่สุดที่เขาเคยประสบพบเจอมา – และนั่นก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากเลยทีเดียว

ขณะที่เขาพินิจพิเคราะห์เธอนั้น เขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง เธอดูสมวัยแล้วตอนนี้ เธออายุ 40 ปี เท่ากันกับเขา แต่เมื่อก่อนตอนที่ยังปฏิบัติงานอยู่อย่างกระตือรือร้นและอยู่ไม่สุข เธอดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปีเลย ผมสีเข้มของเธอเริ่มถูกแซมด้วยผมขาวแล้ว แต่อย่างว่าละ ผมของเขาก็เปลี่ยนสีเหมือนกัน

ไรล์ลี่ตะโกนเรียกลูกสาว “เอพริล!”

ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไรล์ลี่เรียกต่อไปอีกหลายรอบ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับมา

“อะไร?” เอพริลตอบกลับมาจากห้องนั่งเล่นด้วยเสียงหงุดหงิดแบบสุดๆ

“วันนี้มีเรียนกี่โมง?”

“แม่ก็รู้นี่”

“แม่ถามก็แค่ตอบมา โอเคมั้ย”

“แปดโมงครึ่ง”

ไรล์ลี่ขมวดคิ้ว ดูรู้สึกแย่ เธอเงยหน้ามองบิล

“เธอตกภาษาอังกฤษ โดดเรียนบ่อยเกินไป ฉันพยายามจะขุนเธอกลับขึ้นมา”

บิลส่ายหัว เข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีทีเดียว ชีวิตเจ้าหน้าที่พิเศษมันก็สร้างปัญหากับชีวิตส่วนตัวให้พวกเขาแบบนี้แหละ และครอบครัวก็คือสิ่งที่โดนกระทบใหญ่หลวงที่สุด

“ผมเสียใจด้วย” เขากล่าวออกมา

ไรล์ลี่ยักไหล่

“เธออายุ 14 และเธอก็เกลียดฉัน”

“นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“ฉันเกลียดทุกคนตอนอายุ 14” เธอบอก “คุณไม่เป็นเหรอ?”

บิลไม่ตอบ นึกภาพไรล์ลี่ตอนเกลียดทุกคนแทบไม่ออก

“รอดูตอนลูกชายคุณอายุเท่านั้นก็ละกัน” ไรล์ลี่บอกเขา “พวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้วนะ ฉันลืม”

“แปด กับ สิบขวบ” บิลตอบแล้วยิ้มออกมา “ท่าทีที่แม็คกี้เป็นอยู่ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้มีส่วนร่วมในชีวิตพวกลูกรึเปล่าเมื่อถึงตอนที่พวกเขาอายุเท่ากับเอพริล”

ไรล์ลี่เอียงคอและมองเขาด้วยความเป็นห่วง เขาคิดถึงหน้าตาห่วงหาอาทรแบบนี้มาซักพักแล้ว

“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม

เขามองไปที่อื่น ไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง

“นั่นคุณซ่อนอะไรอยู่บนพื้นน่ะ?” เธอถามขึ้น

บิลกวาดตามองด้านล่างแล้วมองกลับขึ้นมายิ้มๆ แม้แต่ในสภาพแบบนี้ เธอก็ไม่เคยให้มีอะไรคลาดสายตาได้จริงๆ

“ผมไม่ได้ซ่อนอะไร” บิลบอก พร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาวางลงบนโต๊ะ “แค่บางอย่างที่ผมอยากปรึกษากับคุณ”

ไรล์ลี่ยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ดีว่าเขามาเพื่ออะไร

“เอามาให้ฉันดูหน่อย” เธอตอบเขา พร้อมเสริมขณะที่ตวัดสายตามองไปที่เอพริล “เร็วๆ ออกไปคุยกันข้างนอก ฉันไม่อยากให้เธอเห็น”

ไรล์ลี่ถอดรองเท้าแตะและเดินนำบิลออกไปที่สนามหลังบ้านด้วยเท้าเปล่า พวกเขานั่งลงบนโต๊ะไม้ปิคนิคเก่าๆที่อยู่มาก่อนที่ไรล์ลี่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยซ้ำ บิลจ้องไปรอบๆสนามหญ้าเล็กที่มีต้นไม้อยู่ต้นเดียว มีไม้อยู่ทุกด้านทุกมุม ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ใกล้เมือง

สันโดษเกินไป เขาคิดในใจ

เขาไม่เคยคิดว่าที่นี่เหมาะกับไรล์ลี่เลยแม้แต่น้อย บ้านหลังเล็กสไตล์คอกม้านั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองถึงสิบห้าไมล์ สภาพเก่าและดูธรรมดามาก มันอยู่หลบจากถนนเส้นรอง ไม่มีอะไรอยู่ในระยะสายตาเลยนอกจากป่าและทุ่งเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าชีวิตคนชานเมืองจะเหมาะกับเธอหรอกนะ เขาก็คิดภาพเธออยู่ในวงสังสรรค์ปาร์ตี้ค็อกเทลไม่ออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะสามารถขับรถไปเฟร็ดดริกส์เบิร์กส์แล้วต่อรถไฟไปควอนติโก้ได้เมื่อเธอกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเธอยัง สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้

“ไหนคุณมีอะไร เอามาดูซิ” เธอเปิดประเด็น

เขากางรายงานและรูปถ่ายออกมาวางเต็มโต๊ะ

“จำคดีที่เมืองแด็กเก็ตต์ได้มั้ย” เขาถาม “คุณพูดถูก ไอ้ฆาตกรมันยังไม่จบแค่นั้น”

เขาเห็นตาเธอเบิกตาโพลงขณะที่กำลังพิจารณาภาพถ่ายพวกนั้น ความเงียบเข้าครอบงำขณะที่เธอศึกษาเอกสารอย่างจริงจัง ทำให้เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการที่จะนำเธอกลับมา – หรืออาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่หวนกลับมาอีกเลย

“คุณคิดว่ายังไง?” และแล้วเขาก็ถามขึ้นมา

ยังคงเงียบ เธอไม่เงยหน้าออกจากเอกสารเลย

เธอมองกลับขึ้นมาในที่สุด และเมื่อเธอเงยหน้าเขาก็ต้องตกใจที่เห็นน้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาของเธอ บิลไม่เคยเห็นเธอร้องไห้มาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่ในคดีที่โหดร้ายที่สุดหรือแม้แต่ตอนตรวจศพ ชัวร์แล้วว่านี่ไม่ใช่ไรล์ลี่ที่เขาเคยรู้จัก ไอ้ฆาตกรนั่นต้องทำอะไรไว้กับเธอแน่ อะไรที่มากกว่าสิ่งที่เขารู้

เธอสะอื้นน้ำตา

“ฉันกลัว บิล” เธอบอก “ฉันกลัวมาก ตลอดเวลา กลัวทุกอย่าง”

บิลรู้สึกหัวใจหล่นลงไปที่เท้าเห็นเธอเป็นแบบนี้ เค้าประหลาดใจว่าไรล์ลี่คนเดิมหายไปไหน คนเดียวที่เขายอมรับว่าแกร่งยิ่งกว่าตัวเขา ที่พึ่งพิงที่เขาไปหาเสมอในยามมีปัญหา เขาคิดถึงเธอมากกว่าคำใดๆ

“มันตายไปแล้ว ไรล์ลี่” เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้ “มันทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”

เธอส่ายหน้า

“คุณวางใจไม่ได้หรอก”

“ได้สิ” เขาตอบ “พวกเขาเจอศพมันหลังเหตุการณ์ระเบิด”

“แต่พวกเขาก็ระบุไม่ได้ว่าศพเป็นของใคร” เธอว่าต่อ

“คุณก็รู้ว่าเป็นศพมันนั่นแหละ”

เธอก้มหน้าพร้อมปิดหน้าด้วยมือหนึ่งขณะที่ร้องไห้ เขาเอื้อมมือไปจับมืออีกข้างของเธอ

“นี่เป็นคดีใหม่” เขาบอก “มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดกับคุณ”

เธอส่ายหัว

“นั่นไม่ใช่ประเด็น”

เธอยกมือขึ้นช้าๆทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ มองหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยื่นเอกสารคืนเขา

“ฉันขอโทษด้วย” เธอกล่าวพร้อมก้มหน้าส่งเอกสารคืนเขาด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันว่าคุณควรกลับไปก่อน” เธอกล่าวต่อ

บิลตกใจ เสียใจ และเอื้อมมือไปรับเอกสารคืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาในรูปนี้

เขานั่งต่ออีกครู่หนึ่ง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเอง ในที่สุด เขาลูบมือเธออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมเดินกลับ ผ่านออกไปในตัวบ้าน เอพริลยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หลับตาและพยักหน้าไปกับเสียงเพลงที่เธอฟัง

*

ไรล์ลี่ยังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะปิคนิคหลังบิลกลับออกไปแล้ว

ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วซะอีก เธอคิดในใจ

เธออยากจะให้บิลเห็นว่าเธอโอเคแล้วจริงๆนะ แล้วเธอก็คิดว่าเธอคงแสดงให้เขาเห็นได้จริงๆ มันก็โอเคน่ะตอนที่นั่งอยู่ในครัวคุยกันเรื่องจิปาถะ แล้วพอตอนที่ออกไปด้านนอกที่เธอได้ดูเอกสารเธอก็คิดว่าเธอน่าจะรับได้เหมือนกัน ยิ่งกว่ารับได้นะจริงๆแล้ว เธอหมกมุ่นในการอ่านเอกสารเลยหละ ความอยากกลับไปทำงานมันกลับมา เธออยากกลับออกไปปฏิบัติหน้าที่ เธอคิดจัดแบ่งเรื่องราวอยู่ในหัว แน่นอน ก็คิดถึงคดีฆาตกรรมพวกนั้นในรายละเอียดที่เกือบจะเหมือนกันให้เป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องแก้ คิดเกือบจะตามหลักวิชาการ เป็นเกมส์ท้าทายกึ๋น นั่นเธอก็รับได้เหมือนกัน นักบำบัดบอกเธอว่าจะต้องรับมือกับมันให้ได้หากคิดอยากจะกลับไปทำงาน

แต่แล้วก็ไม่รู้เพราะอะไร ไอ้เจ้าจิ๊กซอว์พวกนั้นมันกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น – โศกนาฏกรรมของปีศาจที่ใช้ความรุนแรงคร่าชีวิตหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเจ็บปวดและทรมานแบบหาที่เปรียบไม่ได้ถึงสองคน และนั่นทำให้เธออยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า: พวกเธอโดนกระทำแย่เท่ากับที่ฉันโดนมั้ย?

ตอนนี้ตัวเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นวิตก เช่นเดียวกันกับความรู้สึกอายและละอายแก่ใจ บิลเป็นคู่หูและเพื่อนสนิทของเธอ เธอติดค้างเขาไว้มาก เขาอยู่เคียงข้างเธอตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในขณะที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอคงผ่านช่วงเวลาในโรงพยาบาลนั้นมาไม่ได้หากไม่มีเขา สิ่งสุดท้ายที่เธออยากให้เกิดคือการที่เขาได้มาเห็นเธอในสภาพสิ้นหวังแบบนี้

เธอได้ยินเสียงเอพริลตะโกนมาจากประตูหลัง

“แม่ เราต้องกินข้าวเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่งั้นหนูไปสายแน่”

เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า “ก็หัดทำกินเองมั่งสิ!”

แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เธอเหนื่อยมานานกับการทำสงครามกับเอพริล ตอนนี้เธอไม่อยากจะเอาชนะแล้ว

เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ดึงกระดาษเช็ดมือออกมาจากม้วนเพื่อเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกเพื่อเตรียมทำใจทำกับข้าวต่อ ไรล์ลี่พยายามนึกถึงคำพูดของนักบำบัด: แม้แต่หน้าที่ซ้ำซากจำเจยังต้องการการรวบรวมสติ อย่างน้อยก็เพียงสักครู่หนึ่ง เธอต้องทำใจที่จะทำอะไรด้วยการเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆทีละก้าว

เริ่มแรกคือหยิบของออกมาจากตู้เย็น – ตามด้วยถาดไข่, ถุงใส่เบคอน, ถาดเนย, ขวดแยม, เอพริลชอบกินแยมในขณะที่ตัวเธอนั้นไม่ชอบ ขั้นตอนก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงการวางเบคอนหกแผ่นลงบนกระทะเหนือเตาแก๊ส และเธอก็เปิดแก๊ส

เธอโซเซถอยหลังไปหลังจากที่เห็นเปลวไฟสีเหลืองฟ้า เธอหลับตา แล้วเรื่องเก่าๆก็โถมกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง

ไรล์ลี่นอนอยู่ในช่องใต้พื้นบ้าน พื้นที่แคบๆ ในห้องขังที่สร้างแบบสุกเอาเผากิน คบเพลิงน้ำมันโพรเพนเป็นแสงสว่างเดียวที่เธอเคยได้เห็น เวลาส่วนมากเธอใช้ไปกับความมืดมิด ด้านล่างพื้นของช่องแคบใต้บ้านนี้เป็นดินแดง แผ่นกระดานเหนือศีรษะเธอมันอยู่ต่ำมากจนเธอแทบจะนั่งยองๆไม่ได้

ความมืดมิดปกคลุมทั่วไปหมด เธอมองไม่เห็นเขาแม้กระทั่งตอนที่เขาเปิดประตูเล็กๆนั่นและคืบผ่านเข้ามาในช่องแคบนี้ แต่เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงคำรามออกจมูกของเขา เขาปลดล็อคเพื่อเปิดห้องขังพร้อมกับปีนเข้ามาภายใน

และแล้วก็จะมาจุดคบเพลิงตรงนั้น เธอพอจะมองเห็นหน้าอันอัปลักษณ์และโหดเหี้ยมของเขาข้างแสงไฟนั่น เขาชอบเอาจานอาหารบ้าๆมายั่วเธอ หากเธอเอื้อมมือจะไปหยิบแล้วล่ะก็ เธอก็จะเจอกับคบเพลิงที่เขาจะสาดมา เธอจะไม่ได้กินอะไรหากไม่ยอมโดนไฟลวก…

ไรล์ลี่เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพมันจะดูเลือนลางหากเธอลืมตา แต่เธอก็ไม่สามารถเอาความทรงจำพวกนี้ออกไปจากมโนสำนึกได้ เธอจัดการอาหารเช้าต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ อดรินาลีนตอนนี้แผ่เต็มทั่วร่าง ในขณะที่กำลังจะเอาจานอาหารไปวางที่โต๊ะกินข้าว ลูกสาวก็ตะโกนเข้ามาอีกรอบ

“แม่ อีกนานมั้ยเนี่ย?”

เธอสะดุ้งจนทำจานหลุดมือหล่นลงแตกกระจาย

“เกิดอะไรขึ้น?” เอพริลตะโกนเข้ามาแล้วมาโผล่อยู่ข้างเธอ

“ไม่มีอะไร” ไรล์ลี่ตอบ

เธอจัดการทำความสะอาด ระหว่างที่เธอและเอพริลนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันนั้น ความเงียบจากอาการต่อต้านก็เข้าปกคลุมเป็นเรื่องปกติ ไรล์ลี่เคยอยากจะจบไอ้วัฏจักรแบบนี้เลยเคยลองพูดแทรกความเงียบขึ้นมาหาเอพริลว่า เอพริล นี่แม่เองนะ และแม่ก็รักหนูนะ แต่เธอเคยลองมาหลายครั้งแล้ว และมันก็ทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ลูกสาวของเธอเกลียดเธอ และเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไม – หรือจะจบมันได้ยังไง

“วันนี้ลูกจะทำอะไรบ้าง” เธอถามเอพริล

“แม่ว่าไงหล่ะ” เอพริลตอบสะบัด “ก็ไปเรียนน่ะสิ”

“แม่หมายถึงหลังจากนั้น” ไรล์ลี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบและห่วงใย “แม่เป็นแม่ของลูก แม่อยากจะรู้ มันเป็นเรื่องปกติ”

“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชีวิตเราที่ปกติ”

ทั้งสองกินข้าวต่อภายใต้ความเงียบไปอีกอึดใจ

“ลูกไม่เคยเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย” ไรล์ลี่พูดขึ้น

“แม่ก็ไม่เคยเล่าอะไรเหมือนกัน”

และนั่น ก็สิ้นสุดความหวังใดๆว่าแม่ลูกจะมีบทสนทนากันต่อจากนี้

ก็ยุติธรรมดีแล้ว ไรล์ลี่คิดอย่างขมขื่น มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มากกว่าที่เอพริลคิดซะอีก เธอไม่เคยบอกเอพริลเกี่ยวกับงานของเธอเลย ไม่ว่าจะคดีต่างๆหรืออะไร เธอไม่เคยบอกเอพริลเรื่องที่เธอถูกจับตัวไป หรือที่เธอเข้าโรงพยาบาล หรือเรื่องที่ทำไมเธอถึงอยู่ในช่วง “พักร้อน” ตอนนี้ สิ่งที่เอพริลรู้มีเพียงแค่ว่าเธอต้องไปอยู่กับพ่อตลอดเวลาในช่วงนั้น และเธอก็เกลียดพ่อของเธอมากกว่าที่เกลียดไรล์ลี่ซะอีก แต่ไม่ว่าไรล์ลี่อยากจะเล่าให้เธอฟังแค่ไหน เธอคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดแล้วสำหรับเอพริลที่ไม่ต้องรู้ว่าแม่ของเธอประสบกับอะไรมา

ไรล์ลี่แต่งตัวขับรถไปส่งเอพริลที่โรงเรียน ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย พอเอพริลลงจากรถ เธอก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “แล้วเจอกันตอนสิบโมง”

เอพริลโบกมือส่งๆมาให้เธอแล้วเดินจากไป

ไรล์ลี่ขับรถไปที่ร้านขายกาแฟใกล้ๆ ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรของเธอไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่สาธารณะ แต่เธอก็รู้ดีว่าทำไมนั่นถึงเป็นสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำให้ได้ ร้านกาแฟเป็นร้านเล็กๆลูกค้าไม่เยอะแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้าๆแบบนี้ ทำให้เธอไม่รู้สึกเหมือนโดนคุกคามซักเท่าไหร่

ระหว่างที่เธอนั่งจิบคาปูชิโน่อยู่นั้นเอง เธอก็นึกไปถึงคำขอร้องของบิลอีก ให้ตายเหอะ นี่มันหกอาทิตย์มาแล้ว มันต้องเปลี่ยนได้แล้ว ตัวเธอ ต้องเปลี่ยนได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำยังไง

แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เธอรู้แล้วว่าเธอต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก