Kostenlos

วั๊นซ์ กอน

Text
Als gelesen kennzeichnen
Schriftart:Kleiner AaGrößer Aa

บทที่ 21

ไรล์ลี่ดิ้นรนกับสภาพการจราจรในขณะที่ก็พยายามล่อมารีให้คุยโทรศัพท์ต่อ เธอขับผ่าทางแยกมาหลังจากไฟเปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดง รู้ตัวว่ากำลังขับรถอย่างประมาท แต่จะให้เธอทำอย่างไร? เธออยู่ในรถของตัวเอง ไม่ใช่ในพาหนะของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นจึงไม่มีไฟกระพริบและไซเรน

“ฉันจะวางหูแล้วไรล์ลี่” มารีพูดเป็นรอบที่ห้า

“ไม่ได้!” ไรล์ลี่เห่ากลับไป พยายามกดความสิ้นหวังไว้ “อยู่ด้วยกันก่อน มารี”

เสียงของมารีล้าเหลือเกินแล้วตอนนี้

“ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” เธอบอก “ช่วยตัวเองเถอะนะ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันพอกับมันแล้ว จะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลงเดี๋ยวนี้”

ไรล์ลี่นั้นแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆออกมาจากความหวาดวิตก มารีหมายความว่ายังไง? เธอกำลังจะทำอะไร?

“คุณทำได้นะมารี” ไรล์ลี่บอก

“ลาก่อนไรล์ลี่”

“ไม่นะ!” ไรล์ลี่ตะโกน “รอเดี๋ยว รอก่อน! นั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำเพียงแค่นั้น ฉันกำลังไปเดี๋ยวนี้แล้ว”

เธอขับรถเร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนตัวของการจราจร ปาดเลนไปมาเหมือนคนบ้า คนขับรถคนอื่นบีบแตรใส่เธอหลายครั้ง

“อย่าเพิ่งวางสาย” ไรล์ลี่บอกอย่างฉุนเฉียว “ได้ยินมั้ย?”

มารีไม่พูดอะไรอีก ไรล์ลี่ได้ยินแต่เสียงสะอื้นกับเสียงแหลมๆ

เสียงนั้นค่อยทำให้คลายกังวลได้หน่อยหนึ่ง อย่างน้อยมารีก็ยังอยู่ตรงนั้น อย่างน้อยเธอก็ยังอยู่ที่โทรศัพท์ แต่ไรล์ลี่จะทำให้เธออยู่ตรงนั้นได้ตลอดรึเปล่า? เธอรู้ว่าหญิงสาวผู้น่าสงสารกำลังตกลงสู้ห้วงเหวนรกของความหวาดกลัวจากสัตว์ร้าย มารีนั้นไม่เหลือซึ่งความเป็นเหตุเป็นผลใดในหัวสมองแล้ว ดูราวกับเสียสติไปแล้วจากความหวาดกลัว

ความทรงจำของไรล์ลี่เองทะลักเข้าสู่ห้วงความคิดของเธอ วันแย่ๆในสภาพเสมือนสัตว์ร้าย ในวันที่โลกของมนุษยธรรมนั้นไม่หลงเหลืออยู่อีก มีแต่ความมืดมน การรับรู้ถึงโลกนอกความมืดมิดนี้ค่อยๆหลุดลอยไป และการสูญสิ้นสตินึกคิดแห่งช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์

ฉันต้องสู้กับมันให้ได้ เธอบอกกับตัวเอง

แล้วความทรงจำก็เข้าครอบงำเธอ…

มองไม่เห็นหรือได้ยินอะไรเลยรอบตัว ไรล์ลี่พยายามเก็บประสาทสัมผัสอื่นของเธอให้ทำงาน รู้สึกถึงรสชาติเปรี้ยวๆของความหวาดกลัวย้อนกลับขึ้นมาในลำคอ ไล่ขึ้นมาที่ในปาก จนกระทั่งกลายเป็นความรู้สึกจี๊ดๆเหมือนไฟช็อตอยู่ที่ปลายลิ้น เธอขูดขีดบนพื้นดินแดงที่เธอนั่งอยู่ คุ้ยลงไปหาความชื้น สูดดมกลิ่นดินเชื้อเห็ดเชื้อราที่รายล้อมตัวเธอ สัมผัสจากกลิ่นเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เธอยังเหมือนอยู่ในโลกของสิ่งมีชีวิต

และแล้วท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างแสบลูกตาสาดเข้ามาพร้อมกับเสียงแตกดังเปรี๊ยะจากคบเพลิงน้ำมันโพรเพนที่ปีเตอร์สันถือมา

เสียงอัดกระแทกสลัดไรล์ลี่ออกจากห้วงนึกคิดอันน่ากลัวของเธอ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเธอก็ประมวลได้ว่ารถของเธอชนเข้ากับขอบทางเดินและกำลังจะข้ามเลนไปเจอกับรถที่กำลังวิ่งสวนมา เสียงบีบแตรดังลั่น

ไรล์ลี่ดึงสติในการควบคุมรถกลับมาและมองไปรอบตัว เธออยู่ไม่ไกลจากจอร์จทาวน์แล้ว

“มารี” เธอตะโกนออกไป “ยังอยู่รึเปล่า?”

เป็นอีกครั้งที่เธอได้ยินเพียงเสียงสะอื้น ซึ่งก็ดีมากแล้วที่ยังมีเสียงให้ได้ยิน แต่ไรล์ลี่จะทำอะไรได้ในตอนนี้? เธอเริ่มลังเล เธอสามารถจะโทรขอความช่วยเหลือจากเอฟบีไอได้ในวอชิงตันดีซี แต่ในระหว่างที่เธอมัวแต่อธิบายปัญหาเพื่อให้พวกเขาส่งเจ้าหน้าที่มาตามที่อยู่ ก็คงมีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้นแล้ว นั่นยังหมายถึงการที่เธอต้องวางสายจากมารีด้วย

เธอต้องเก็บมารีไว้ในสาย แต่จะทำยังไงล่ะ?

เธอจะดึงมารีออกมาจากขุมนรกนั้นได้ยังไ? ในเมื่อเธอเองก็เกือบตกลงไปในนั้นเหมือนกัน

ไรล์ลี่นึกอะไรขึ้นมาได้ นานมาแล้ว เธอเคยได้รับการฝึกวิธีเก็บปลายสายในขั้นวิกฤตให้อยู่ในสาย เธอไม่เคยต้องใช้มันเลยจนกระทั่งวันนี้ เธอพยายามนึกว่าต้องทำอะไรบ้าง หลักสูตรมันผ่านมานานเหลือเกิน

ส่วนหนึ่งของหลักสูตรเริ่มกลับเข้ามาในความจำของเธอ เธอถูกฝึกให้ทำทุกสิ่ง พูดทุกอย่าง เพื่อจะเก็บปลายสายให้มีการสนทนา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องมีสาระหรือไม่ หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องอะไรไร้เหตุผลไปเลยก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือปลายสายต้องได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงกังวลของคน

“มารี มีบางอย่างที่คุณต้องช่วยทำให้ฉัน” ไรล์ลี่ชวนคุย

“อะไรเหรอ?”

สมองของเธอนั้นทำงานอย่างลนลาน พยายามสร้างเรื่องหาข้ออ้างออกมาให้เธอทำตาม

“อยากต้องการให้คุณช่วยไปที่ครัว” เธอบอก “ฉันอยากให้คุณช่วยบอกหน่อยว่ามีสมุนไพรและพริกอะไรอยู่บนชั้นวางของคุณบ้าง”

มารีไม่ตอบไปครู่หนึ่ง ไรล์ลี่กังวล ไม่รู้ว่ามารีจะอยู่ในสติที่สามารถจะทำตามข้ออ้างในการดึงความสนใจของเธอรึเปล่า

“โอเค” มารีตอบมา “ฉันกำลังเดินไปเดี๋ยวนี้”

ไรล์ลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยนี่ก็ช่วยถ่วงเวลาไปได้ระยะหนึ่ง เธอได้ยินเสียงก๊องแก๊งของขวดโหลกระทบกันลอดเข้ามาในโทรศัพท์ เสียงของมารีนั้นเปลี่ยนเป็นฟังดูประหลาดไปแล้วตอนนี้ – เหมือนหุ่นยนต์ และ เหมือนเสียสติ ในคราวเดียว

“ฉันมีโอริกาโน่แห้ง พริกป่น กับลูกจันทน์”

“ดีมาก” ไรล์ลี่บอก “มีอะไรอีก?”

“เครื่องเทศแห้ง ขิงบด แล้วก็พริกไทยดำ”

มารีหยุดพูดไป ไรล์ลี่จะหาข้ออ้างต่อไปยังไงแบบนี้?

“แล้วคุณมีผงกระหรี่รึเปล่า?” ไรล์ลี่ถามอีก

มีเสียงกรุกกริกจากขวดกระทบกัน มารีตอบกลับมา “ไม่มี”

ไรล์ลี่พูดช้าลง ราวกับเป็นคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องคอขาดบาดตาย – เพราะจะว่าไปแล้ว เธอกำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจริงๆ

“โอเค ไปหยิบกระดาษกับปากกามา” ไรล์ลี่พูดราวกับสั่ง “แล้วจดลงไป คุณต้องหาซื้อมันมาให้ได้ตอนไปออกซื้อกับข้าว”

เธอได้ยินเสียงขีดๆเขียนๆอะไรสักอย่าง

แล้วจู่ๆก็เงียบไปอย่างน่าวิตก

“แย่แล้ว ไรล์ลี่” มารีพูดด้วยน้ำเสียงหมดสิ้นแล้วความหวัง

ไรล์ลี่เก็บเสียงตะกุกตะกักของเธอไว้ไม่ค่อยอยู่ “ก็แค่ – ทำให้ฉันหัวเราะหน่อยนะ โอเคมั้ย?”

อีกฟากยังคงเงียบ

“มันอยู่ที่นี่แล้ว ไรล์ลี่”

เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งดังหินติดอยู่ที่คอหอย

“มันอยู่ที่ไหน?” เธอเร่งถาม

“มันอยู่ในบ้านนี่แหละ ฉันเข้าใจแล้ว มันอยู่ที่นี่มาตลอดไม่ได้ไปไหนเลย ไม่มีอะไรที่คุณจะช่วยฉันได้แล้ว”

ความคิดในหัวไรล์ลี่มวนไปหมดขณะที่กำลังทำความเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มารีอาจจะแค่ประสาทหลอนไป เธอเข้าใจอาการนี้ดีจากประสบการณ์เป็นโรคเครียดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญของตัวเอง

ในขณะเดียวกัน มารีก็อาจกำลังพูดความจริง

“คุณรู้ได้ยังไง มารี?” ไรล์ลี่ถามพร้อมหาจังหวะแซงหน้ารถบรรทุที่คลานเป็นเต่าเดิน

“ฉันได้ยินเสียง” มารีบอก “ฉันได้ยินเสียงฝีเท้า มันอยู่ข้างบน ไม่ใช่สิ มันอยู่ที่โถงทางเดินข้างหน้า ไม่สิ มันอยู่ที่ห้องใต้ดิน”

เธอกำลังเห็นภาพหลอนรึเปล่า? ไรล์ลี่สงสัย

มันมีความเป็นไปได้ทั้งหมด ไรล์ลี่เองก็เคยได้ยินเสียงที่ไม่มีจริงนี้มาบ่อยครั้งหลังเหตุการณ์ถูกจับไปทรมาน ขนาดไม่นานมานี้บางทีเธอยังไม่ค่อยเชื่อถือประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเองเลย เหตุการณ์สะเทือนขวัญมันทำอะไรกับจินตนาการคุณได้หลายอย่างเลยทีเดียว

“มันอยู่ทุกที่ในบ้านเลย” มารีเพ้อ

“ไม่ใช่” ไรล์ลี่ตอบเสียงเฉียบ “มันไม่มีทางไปอยู่ได้ทุกที่”

สุดท้ายไรล์ลี่ก็แซงคนบรรทุกสินค้าเต่าคลานนั้นได้สำเร็จ ความรู้สึกไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆซัดเข้ามาหาเธอราวกับคลื่นมรสุม เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมากจริงๆ เหมือนเธอกำลังจะจมน้ำ

เมื่อมารีเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง เธอหยุดสะอื้นไปแล้ว เสียงบ่งบอกถึงการยอมแพ้ ดูสงบนิ่งอย่างชวนฉงน

“ไม่แน่ มันอาจเป็นผี ไรล์ลี่ ไม่แน่มันกลายเป็นผีจากที่เราระเบิดมัน คุณฆ่าตัวมันแต่ความชั่วร้ายของมันไม่ได้ตายไปด้วย ตอนนี้มันไปได้ทุกที่ในพริบตาเดียว ไม่มีวิธีจะหยุดมันได้แล้ว ไม่มีทางจะหยุดมันได้เลย คุณสู้กับผีไม่ได้หรอก ยอมแพ้ซะเถอะไรล์ลี่ คุณทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อย่างเดียวที่ฉันทำได้คือปล่อยให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง”

“อย่าวางสายนะ! ฉันอยากให้คุณทำอะไรอีกอย่างให้หน่อย”

ทั้งสองเงียบไปอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนมารีจะพูดขึ้นว่า “อะไรอีก? จะเอาอะไรอีกไรล์ลี่?”

“ฉันอยากให้คุณอยู่ในสายนี้ แต่ก็ต้องการให้คุณใช้โทรศัพท์บ้านโทรแจ้ง 911 ด้วย”

เสียงมารีเปลี่ยนเป็นคำรามเล็กน้อย “พระเจ้า ไรล์ลี่ จะต้องบอกอีกกี่ครั้งว่าฉันตัดสายโทรศัพท์บ้านไปแล้ว”

ในความวุ่นวายสับสนทำให้ไรล์ลี่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เสียงมารีฟังออกจะรำคาญแล้วเล็กๆ ดีเลย อย่างน้อยความโกรธก็ยังดีกว่าความหวาดผวา

“แล้วอีกอย่าง” มารีพูดต่อ “โทรหาตำรวจแล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้น? พวกเขาจะช่วยอะไรฉันได้ ไม่มีใครช่วยฉันได้ มันอยู่ไปทุกที่ ยังไงมันก็ต้องมาฆ่าฉันไม่ช้าก็เร็ว แล้วมันก็จะไปฆ่าคุณด้วย สู้เราทั้งคู่ยอมแพ้ไปซะยังจะดีกว่า”

ไรล์ลี่เหมือนไม่ได้รับความร่วมมือ อาการประสาทหลอนของมารีเริ่มจะสร้างเหตุและผลให้กับอาการของมันเอง แล้วเธอก็ไม่มีเวลามานั่งโน้มน้าวมารีว่าปีเตอร์สันไม่ได้เป็นผี

“มารี เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” ไรล์ลี่เอ่ยในที่สุด “คุณเคยบอกฉันนี่ว่าทำเพื่อฉันได้ทุกอย่าง ที่พูดมันจริงรึเปล่า”

มารีเริ่มร้องไห้อีกรอบ

“แน่นอน มันจริงน่ะสิ”

“ถ้างั้นวางหูแล้วโทรหา 911 ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับ ไม่จำเป็นว่ามันต้องทำให้อะไรดีขึ้น แค่โทรไปเพราะฉันขอร้อง”

เธอเงียบไปนาน ไรล์ลี่ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของมารี

“มารี ฉันรู้ว่าคุณอยากยอมแพ้ ฉันเข้าใจดี นั่นก็เป็นทางที่คุณเลือกเอง แต่ ฉัน ไม่อยากยอมแพ้ มันอาจฟังดูโง่ แต่ฉันไม่ต้องการยอมแพ้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงขอร้องให้คุณโทรหาตำรวจ เพราะคุณบอกว่าคุณทำทุกอย่างเพื่อฉันได้ และฉันก็ต้องการให้คุณกดโทรออก เพื่อฉัน”

ยังคงมีแต่ความเงียบ นี่มารียังอยู่ในสายหรือเปล่านะ?

คุณสัญญารึเปล่า? เธอถามขึ้นมา

สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปพร้อมกับเสียงคลิ๊ก ไม่ว่ามารีจะโทรให้คนมาช่วยหรือไม่ ไรล์ลี่ไม่อยากจะทิ้งโอกาสอะไรไปทั้งนั้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์ 911

“ดิฉันเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ ไรล์ลี่ เพจ” ไรล์ลี่ทักไปเมื่อโอเปอเรเตอร์รับสาย “ฉันโทรมาแจ้งความเป็นไปได้ที่มีการบุกรุก บุคคลที่เป็นอันตรายอย่างมาก”

ไรล์ลี่ให้ที่อยู่ของมารีไปกับโอเปอเรเตอร์

“เราจะจัดทีมไปที่นั่นทันที” โอเปอเรเตอร์ให้คำมั่น

“ดีมาก” ไรล์ลี่ตอบและวางสาย

ไรล์ลี่ลองโทรกลับไปหามารีอีกครั้งแต่ไม่มีคนรับสายแล้ว

ใครก็ได้ช่วยไปถึงที่นั่นให้ทันด้วยเถอะ เธอคิดในใจ ใครซักคนต้องไปถึงที่นั่นเดี๋ยวนี้

ในระหว่างนั้น เธอเองต้องต่อสู้กับความจำเลวร้ายระลอกใหม่ที่ผุดขึ้นมา เธอต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอต้องเก็บสติของเธอไว้

เมื่อเธอขับมาใกล้จะถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์อิฐมอญสีแดงของมารี ไรล์ลี่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที ยังไม่มีรถของหน่วยฉุกเฉินใดมาถึง เธอได้ยินเสียงหวอไซเรนของตำรวจดังมาอยู่ไกลๆ พวกเขากำลังอยู่ระหว่างทาง

ไรล์ลี่ขยับจอดรถแล้วพุ่งตัวออกไปที่ประตูหน้า รู้ตัวว่าเป็นคนแรกที่มาถึง พอเธอขยับลูกบิดปุ๊บ ประตูก็หลุดเปิดออกทันที ทำไมประตูถึงไม่ได้ล็อค?

เธอก้าวเข้าไปข้างในพร้อมหยิบปืนออกมาถือไว้

 

“มารี!” เธอตะโกนเรียก “มารี!”

ไม่มีเสียงตอบ

ไรล์ลี่แน่ใจทันทีว่าต้องมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ – หรือกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ เธอขยับลึกเข้าไปภายในทางเดินหน้าห้องโถง

“มารี!” เธอตะโกนเรียกอีกครั้ง บ้านยังคงเงียบสงัด

เสียงไซเรนจากรถตำรวจดังใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่ยังคงไม่มีทีมฉุกเฉินใดมาถึง

ไรล์ลี่เริ่มคิดไปถึงสถานการณ์เลวร้ายขั้นสุดแล้วขณะนี้ – ว่าปีเตอร์สันได้มาที่นี่ และอาจจะยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้

เธอเดินเข้าไปภายในห้องโถงที่มีเพียงแสงไฟสลัว ยังตะโกนเรียกชื่อมารีอยู่อย่างนั้นขณะที่เปิดประตูเช็คทุกห้อง อาจจะอยู่ในตู้ด้านซ้าย? แล้วประตูห้องน้ำด้านขวาล่ะ?

หากเธอประจันหน้ากับปีเตอร์สัน เธอจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองถูกมันจับตัวไปอีกครั้งเป็นแน่

เธอจะต้องหาทางกำจัดมันให้สิ้นซาก

บทที่ 22

แม้ว่าไรล์ลี่จะเรียกหา ก็ไม่มีเสียงขานรับจากมารี ไม่มีเสียงอื่นใดภายในบ้านนอกจากเสียงจากตัวเธอเอง ภายในบ้านดูว่างเปล่า เธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนและค่อยๆเลี้ยวเข้าไปภายในประตูทางเดินที่เปิดค้างไว้

ขณะที่เธอกำลังเลี้ยวเข้ามุม ไรล์ลี่ถึงกับหยุดหายใจหลอดลมตีบตัน ราวกับโลกพังทลายลงมาอยู่แทบเท้า

มารีอยู่ตรงนั้น ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ คอถูกรัดด้วยสายไฟมัดแน่นเข้ากับโคมไฟบนเพดาน บันไดล้มกลิ้งอยู่บนพื้นห้อง

เวลาเหมือนหยุดหมุนในขณะที่สมองของเธอยังไม่ยอมรับความจริง

เข่าอ่อนจนยืนแทบไม่อยู่ เธอต้องพยุงตัวเองพิงไว้กับบานประตู ปลดปล่อยเสียงอันน่าเวทนาออกมา

“ม่ายยยยยยย!”

เธอพุ่งตัวผ่านไปกลางห้อง พลิกบันไดกลับขึ้นมาวางและเดินขึ้นไปเหยียบบนนั้น โอบวงแขนไว้รอบร่างของมารีเพื่อผ่อนแรงถ่วง แล้วเอานิ้วแตะไปที่คอเพื่อฟังเสียงชีพจร

ไรล์ลี่นั้นสะอึกสะอื้นตอนนี้ “อย่าตายนะ มารี อย่าตายนะ แม่งเอ๊ย”

แต่มันก็สายเกินไป คอของเธอหัก เธอตายแล้ว

“พระเจ้า” ไรล์ลี่ร้องครวญ ทรุดลงไปกองบนบันได ความเจ็บปวดไล่ขึ้นมาตั้งแต่ช่องทอง อยากตายลงเสียตรงนี้เช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ไรล์ลี่เริ่มมีสติรับรู้ถึงเสียงที่ดังมาจากข้างล่าง ทีมฉุกเฉินมาถึงแล้ว การทำงานของความรู้สึกเดิมที่คุ้นเคยเริ่มจะกลับมา ความกลัวและความโศกเศร้ายังต้องหลบให้กับความเย็นชาเฉียบขาดและความเป็นมืออาชีพในหน้าที่

“อยู่บนนี้!” เธอตะโกนลงไป

ใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาออกไป

เจ้าหน้าที่ห้านายในสภาพติดอาวุธครบมือสวมเสื้อเกราะอ่อนใยสังเคราะห์เคฟล่าพุ่งตัวขึ้นบันไดมา หญิงสาวด้านหน้าดูประหลาดใจชัดเจนที่เห็นเธอ

“ดิฉันเจ้าหน้าที่ ริต้า เกรแฮม หัวหน้าทีมค่ะ” เธอแนะนำตัว “คุณเป็นใคร”

ไรล์ลี่ละจากบันไดและแสดงตราประจำตัว “เจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ ไรล์ลี่ เพจ”

หญิงสาวดูอึดอัด ไม่สบายใจ

“คุณมาถึงที่นี่ก่อนพวกเราได้ยังไง”

“เธอเป็นเพื่อนของฉันเอง” ไรล์ลี่ตอบ กลับมาอยู่ในโหมดมืออาชีพอย่างพร้อมเต็มที่แล้ว “เธอมีชื่อว่า มารี เซย์ลส์ เธอโทรเข้ามาหาฉันบอกว่ามีอะไรผิดปกติ ตอนที่ฉันโทรแจ้ง 911 ฉันเองก็กำลังเดินทางจะมาถึง แต่ก็มาช้าเกินไป เธอเสียชีวิตแล้ว”

ทีมฉุกเฉินรีบกรูเข้าไปตรวจเช็คและยืนยันคำให้การของเธอ

“ฆ่าตัวตายเหรอคะ?” เจ้าหน้าที่เกรแฮมถาม

ไรล์ลี่พยักหน้า ไม่มีข้อกังขาใดๆว่ามารีนั้นปลิดชีวิตตัวเอง

“นี่คืออะไร” หัวหน้าทีมถาม ชี้ไปที่โน๊ตพับไว้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

ไรล์ลี่มองกระดาษใบนั้น เขียนด้วยลายมือหยุกหยิกพออ่านออก มีใจความว่า:

มันเป็นหนทางเดียว

“จดหมายลาตายเหรอ?”

ไรล์ลี่ผงกหัวเคร่งขรึม หากแต่เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่จดหมายลาตายปกติทั่วไป มันไม่ใช่คำอธิบายแล้วก็ไม่ใช่คำขอโทษ

แต่มันเป็นคำแนะนำ ไรลี่คิดในใจ เป็นคำแนะนำสำหรับฉัน

ทีมฉุกเฉินเดินบันทึกภาพและจดบันทึกต่างๆ เธอรู้ว่าพวกเขาต้องรอทีมนิติเวชมาก่อนจึงจะเคลื่อนย้ายศพได้

“ไปคุยกันข้างล่างดีกว่า” เจ้าหน้าที่เกรแฮมบอก เดินนำไรล์ลี่ลงไปในห้องนั่งเล่น นั่งลงบนเก้าอี้และผายมือให้ไรล์ลี่นั่งลงเช่นกัน

ผ้าม่านยังถูกดึงปิด ไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาภายในห้อง เธออยากจะกระชากม่านเปิดออกให้แสงส่องเข้ามาบ้าง แต่รู้ดีว่าไม่ควรจะแตะอะไร เธอนั่งลงบนโซฟา

เกรแฮมเปิดสวิชต์โคมไฟข้างเก้าอี้

“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อย” เจ้าหน้าที่เอ่ย หยิบสมุดโน๊ตกับดินสอขึ้นมาเตรียมจด แม้ว่าสีหน้าท่าทางของเธอจะแกร่งเหมือนคนที่มีประสบการณ์ แต่ดวงตาของเธอมีแววเห็นอกเห็นใจอยู่ในนั้น

“เธอเคยเป็นเหยื่อคดีลักพาตัว” ไรล์ลี่เล่า “เกือบแปดสัปดาห์ก่อน เราทั้งคู่ตกเป็นเหยื่อ คุณอาจเคยได้อ่านผ่านตามาบ้าง คดีของ แซม ปีเตอร์สัน”

เกรแฮมตาลุกโพลง

“โอ้ พระเจ้า” เธออุทาน “ฆาตกรที่ทรมานและสังหารผู้หญิงพวกนั้น คนที่ถือตะเกียงคบเพลิง ส่วนคุณก็คือเจ้าหน้าที่คนที่ระเบิดมันตายแล้วหนีออกมาได้ใช่มั้ย?”

“ใช่” ไรล์ลี่ตอบ และพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปซักพักว่า “ปัญหาก็คือ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันระเบิดมันตาย ฉันไม่มั่นใจว่ามันตายไปแล้วจริงๆ มารีไม่เชื่อว่ามันตายไปแล้วและนั่นก็ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้ เธออยู่แบบไร้ความเชื่อมั่นไม่ได้ และบางครั้งก็เหมือนมันกลับมาสะกดรอยตามเธออีก”

ไรล์ลี่อธิบายเรื่องต่อไป คำพูดหลั่งไหลออกมาโดยอัตโนมัติแทบจะเหมือนว่าเธอจดจำทุกรายละเอียดใส่ใจไว้ทั้งหมด ตอนนี้เธอรู้สึกราวกับจิตหลุดลอยออกมาจากสถานที่เกิดเหตุและกำลังฟังตัวเองรายงานเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น

หลังจากเล่าย้อนเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่เกรแฮมฟังเพื่อปูพื้นคดีแล้ว ไรล์ลี่ก็ให้เบอร์ติดต่อกับญาติของมารีไว้กับเธอ แต่ระหว่างที่กำลังพูดไปเรื่อยๆนั้น ความโมโหก็ก่อตัวขึ้นภายใต้ภาพภายนอกของความเป็นมืออาชีพ – ความโมโหอันหนาวสะท้าน ปีเตอร์สันจัดการเหยื่อไปแล้วอีกหนึ่งราย ไม่ว่ามันจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วไม่สำคัญ มันเป็นคนฆ่ามารี

และมารีก็ตายอย่างมั่นใจมากว่าไรล์ลี่นี่แหละจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของปีเตอร์สัน ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือของมันหรือของตัวไรล์ลี่เอง ไรล์ลี่อยากจะเอามือไปเขย่าร่างมารีสลัดเอาความคิดบ้าบอนี้ออกจากสมองเธอ

นี่ไม่ใด้เป็นหนทางเดียว! ไรล์ลี่อยากพูดกรอกหูเธอ

แต่เธอจะเชื่อรึเปล่าล่ะ? ไรล์ลี่ไม่อาจรู้ได้ ดูเหมือนมีหลายสิ่งเหลือเกินที่เธอไม่รู้

ทีมนิติเวชชันสูตรมาถึงแล้วขณะที่ไรล์ลี่และเจ้าหน้าที่เกรแฮมยังคงคุยกันอยู่ เกรแฮมลุกขึ้นยืนและเดินออกไปพบเขา แล้วจึงหันมาพูดกับไรล์ลี่ว่า “ฉันขอขึ้นไปข้างบนสักครู่ อยากให้คุณช่วยอยู่แถวนี้ก่อนเพื่อเล่าให้ฉันฟังต่อ”

ไรล์ลี่สั่นหัว

“ฉันต้องไปแล้ว” เธอบอก “มีคนที่ฉันจำเป็นต้องไปคุยด้วย” เธอหยิบนามบัตรออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ “ติดต่อฉันมาได้ตามนี้ค่ะ”

เจ้าหน้าที่กำลังจะอ้าปากค้านแต่ไรล์ลี่ไม่ปล่อยให้เธอมีโอกาส เธอลุกยืนขึ้นและเดินออกไปจากบ้านที่หม่นหมองของมารี พร้อมภารกิจด่วนที่ต้องไปจัดการ

*

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ไรล์ลี่ขับรถไปทางตะวันตกผ่านแถบชนบทของรัฐเวอร์จิเนีย

“ฉันต้องทำแบบนี้จริงๆเหรอ?” เธอถามย้ำตัวเองอีกครั้ง

เธอเหนื่อยล้าและแทบไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะผ่านฝันร้ายมาหมาดๆ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เธอได้คุยกับไมค์ในระหว่างนี้ เขาช่วยให้จิตใจเธอมั่นคงขึ้น แต่เธอก็มั่นใจเหมือนกันว่าเขาคงไม่มีวันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอกำลังจะทำ เธอเองไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกันว่าตอนนี้สติเธอดีครบสมบูรณ์

เธอขับมาคฤหาสน์ของวุฒิสมาชิก มิช นิวโบร ด้วยเส้นทางที่เร็วที่สุดจากจอร์จทาวน์ นักการเมืองหลงตัวเองนั่นมีหลายอย่างต้องรับผิดชอบ เขาปิดบังบางอย่าง บางอย่างที่อาจนำพาไปสู่ฆาตกรตัวจริง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมส่วนหนึ่งถึงเป็นความผิดของเขาที่ทำให้เกิดเหยื่อรายใหม่ขึ้นมา

ไรล์ลี่รู้ว่าเธอกำลังมุ่งหน้าไปปะทะกับตัวปัญหา แต่หาได้สนใจไม่

เป็นเวลาบ่ายมากแล้วที่ไรล์ลี่ขับรถเข้ามาจอดตรงทางโค้งหน้าแมนชั่นหินสุดหรู เธอจอดแล้วลงจากรถ และเดินขึ้นไปที่ประตูหน้าขนาดมหึมา พอกดกริ่งหน้าบ้านก็ได้รับการต้อนรับจากสุภาพบุรุษแต่งตัวภูมิฐานเป็นทางการ – พ่อบ้านนิวโบร เธอคาดคะเน

“ให้ผมช่วยอะไรครับ คุณผู้หญิง” เขาถามเสียงทื่อ

ไรล์ลี่แสดงตราประจำตัวให้เขาดู

“เจ้าหน้าที่พิเศษ ไรล์ลี่ เพจ” เธอตอบ “ท่านวุฒิสมาชิกรู้ว่าดิฉันเป็นใคร ฉันต้องการคุยกับท่าน”

ด้วยสีหน้าหยันๆ พ่อบ้านหันหลังให้ไรล์ลี่พร้อมรอยยิ้มอย่างเหนือกว่า

“ท่านวุฒิสมาชิกไม่ต้องการพบคุณ” เขาเอ่ย “ท่านสั่งมาค่อนข้างเฉียบขาด ขอให้โชคดีครับ คุณผู้หญิง”

แต่ก่อนที่พ่อบ้านจะทันได้ปิดประตู ไรล์ลี่ก็เดินเบียดเขาจ้ำอาดๆเข้าไปภายในตัวบ้าน

“ผมคงต้องแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย” พ่อบ้านตะโกนไล่หลัง

“เชิญคุณเรียกได้เลยค่ะ” ไรล์ลี่ตะโกนข้ามไหล่ตัวเองกลับไป

เธอไม่รู้ว่าต้องไปตามหาวุฒิสมาชิกตรงส่วนไหนของบ้าน เขาอาจอยู่ได้ทุกที่ในแมนชั่นที่เป็นโพรงมืดนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไร เธอทำให้เขามาหาเธอได้อยู่แล้ว

เธอมุ่งตรงไปที่ห้องนั่งเล่นที่เคยพบกับเขามาก่อนและทิ้งตัวลงบนโซฟาใหญ่ ตั้งใจมากว่าจะทำตัวตามสบายเหมือนบ้านของเธอเองจนกว่าวุฒิสมาชิกจะออกมาพบ

เพียงไม่กี่อึดใจ ชายร่างใหญ่สวมเสื้อสูทสีดำเดินเข้ามาภายในห้อง จากลักษณะแล้วไม่ต้องเดาว่าคงเป็นบอดี้การ์ดของวุฒิสมาชิก

“ท่านวุฒิสมาชิกขอให้คุณกลับไป” เขาพูดพลางกอดอก

ไรล์ลี่ไม่สะเทือนออกจากโซฟาแม้แต่น้อย มองไปที่ชายร่างใหญ่อย่างประเมินว่าเขาจะแน่สักแค่ไหน ตัวเขาสูงใหญ่พอจะใช้กำลังโยนเธอออกไปได้ แต่วิชาป้องกันตัวของเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร หากเขาเข้ามาก่อกวนล่ะก็ คงไม่ใช่แค่คนสองคนที่จะต้องเจ็บตัว แต่เฟอร์นิเจอร์โบราณล้ำค่าของวุฒิสมาชิกด้วยที่จะต้องมีอันเป็นไป

“หวังว่าจะมีคนบอกคุณเรื่องที่ฉันเป็นเอฟบีไอนะ” เธอพูดขึ้น จ้องตากับเขาไม่กระพริบ เธอไม่คิดหรอกว่าเขาจะใช้อาวุธกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ

ไม่อ่อนข้อให้ง่ายๆ เขาเองจ้องเธอกลับแต่ไม่ได้ขยับตัวเข้ามาใกล้

ไรล์ลี่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทางด้านหลัง แล้วเสียงวุฒิสมาชิกก็ดังขึ้น

“เจ้าหน้าที่เพจ อะไรอีกล่ะคราวนี้ ผมไม่ใช่คนมีเวลาว่างมากนะ”

บอดี้การ์ดถอยกลับไปขณะที่นิวโบรก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าเธอ รอยยิ้มนักการเมืองสุดขึ้นกล้องของเขาแฝงไว้ด้วยความเยาะหยันอยู่ในที เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแต่เธอก็รู้ในทันทีว่าทั้งสองกำลังจะเข้าฟาดฟันใส่กันโดยมีความดันทุรังเป็นอาวุธ เธอตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ขยับไปจากโซฟาแม้แต่ก้าวเดียว

“ท่านคิดผิด ท่านวุฒิสมาชิก” ไรล์ลี่เริ่ม “ไม่มีความเกี่ยวพันทางการเมืองในการฆาตกรรมของบุตรสาวของท่าน – และไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆด้วย ท่านมอบลิสรายชื่อศัตรูให้ดิฉันและดิฉันก็มั่นใจว่าท่านคงมอบลิสเดียวกันนั้นให้สมุนของท่านในองค์กร”

รอยยิ้มของนิวโบรบิดเปลี่ยนเป็นรอยแสยะยิ้ม

“ผมเดาว่าคุณคงหมายถึง หัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่พิเศษ คาร์ล วาล์วเดอร์” เขาตอบ

ไรล์ลี่รู้ว่าการเลือกใช้คำพูดของเธอนั้นมันไม่ผ่านระบบกลั่นจากสมองออกมาเลย และเธอก็คงใช้ชีวิตที่เหลือเสียใจกับการกระทำนี้ หากแต่ตอนนี้เธอไม่รู้สึกแคร์เลยซักนิด

“กระดาษลิสใบนั้นมันทำให้องค์กรเสียเวลามากค่ะ ท่านวุฒิสมาชิก” ไรล์ลี่ว่าต่อ “ในขณะเดียวกัน เหยื่ออีกรายก็ถูกจับตัวไป”

นิวโบรยืนฝังรากแน่วแน่อยู่บนจุดเดิม

“ผมเข้าใจว่าองค์กรจับตัวคนร้ายได้แล้วนะ” เขาบอก “คนร้ายสารภาพออกมาแล้ว แต่คงไม่ได้บอกอะไรมากใช่มั้ย? มันต้องมีบางอย่างเกี่ยวพันถึงผม คุณเชื่อขนมกินได้เลย เดี๋ยวเขาก็สารภาพทุกอย่างออกมาเอง ผมจะย้ำเจ้าหน้าที่วาล์วเดอร์ให้ตามเรื่องต่อเอง”

ไรล์ลี่พยายามเก็บความอัศจรรย์ใจของเธอไว้ ขนาดเกิดเหตุลักพาตัวซ้ำขึ้นอีกครั้งนิวโบรก็ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นเป้าหมายหลักของคนร้าย อีโก้ของเขานี่มันสุดๆจริงๆ ความสามารถในการเชื่อว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับตัวเขานั้นมันไม่มีจุดสิ้นสุดขนานแท้

นิวโบรเอียงศีรษะมาอย่างอยากรู้

“แต่ดูเหมือนคุณจะโทษผมอยู่นะ” เขากล่าว “ผมเคืองนะ เจ้าหน้าที่เพจ มันไม่ใช่ความผิดของผม ที่ความประมาทเลินเล่อของคุณเองนำไปสู่เหตุการณ์ลักพาตัวของผู้เคราะห์ร้ายอีกราย”

หน้าของเธอกระตุกด้วยความฉุน เธอไม่กล้าตอบอะไรออกไป เพราะคำตอบของเธอคงไร้การยั้งคิดหนักกว่านี้

เขาเดินไปที่ตู้เก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และเทวิสกี้ราคาแพงแก้วใหญ่ให้ตัวเอง ดูออกว่าตั้งใจไม่ถามว่าเธอต้องการดื่มอะไรหรือไม่

ไรล์ลี่คิดว่านี่เป็นเวลาอันสมควรเข้าประเด็นได้แล้ว

“ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ มีบางอย่างที่ท่านไม่ได้บอกดิฉัน” เธอเปรยออกมา

นิวโบรหันหน้าหาเธออีกครั้ง พร้อมจิบเครื่องดื่มจากแก้วอึกใหญ่

“ผมไม่ได้ตอบคำถามคุณไปหมดแล้วหรอกเหรอ” เขาย้อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพียงแต่มีบางเรื่องที่ท่านไม่บอก เรื่องเกี่ยวกับรีบ้า และดิฉันคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ท่านจะบอก”

นิวโบรจ้องเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เธอชอบเล่นตุ๊กตามั้ยคะ ท่านวุฒิสมาชิก?” ไรล์ลี่ถาม

นิวโบรยักไหล่ “ผมว่าเด็กผู้หญิงทุกคนคงชอบ” เขาตอบ

“ดิฉันไม่ได้หมายถึงเด็กผู้หญิง แต่หมายถึงตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอมีสะสมมันบ้างรึเปล่าคะ”

“เสียใจ แต่ผมคงไม่รู้ได้”

เป็นคำตอบแรกจากนิวโบรที่ไรล์ลี่เชื่อตามนั้นจริงๆ ผู้ชายที่เป็นโรคติดเชื้อเห็นแก่ตัวแบบนี้ก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความชอบความสนใจของคนอื่น – ไม่แม้แต่ของลูกสาวตัวเอง

“ดิฉันอยากคุยกับภรรยาของท่าน” ไรล์ลี่เอ่ย

“ไม่ได้แน่นอน” นิวโบรเสียงสะบัด สีหน้าของเขาฉายแววใหม่แล้ว – สีหน้าแบบนี้ไรล์ลี่เคยเห็นเขาใช้เวลาออกทีวี คล้ายกันกับรอยยิ้มของเขา สีหน้าแบบจงใจ ดูประดิษฐ์ คงผ่านการฝึกฝนมาแล้วเป็นพันครั้งหน้ากระจก งัดเอาออกมาใช้เวลาออกมาทวงถามถึงความถูกต้องทางศีลธรรม

“คุณนี่ไม่มีกาลเทศะเลยใช่มั้ย เจ้าหน้าที่เพจ?” เขาพูด เสียงสั่นไปด้วยความโกรธที่คำนวณเอาไว้แล้ว “คุณเข้ามาในบ้านของคนที่กำลังโศกเศร้า ไม่ได้นำพาความสบายใจมาให้ ไม่มีคำตอบสำหรับครอบครัวที่ต้องสูญเสีย ในทางตรงกันข้าม คุณกลับมากล่าวหาอะไรไม่มีหลักฐาน โยนความผิดให้กับคนไร้เดียงสาในความไม่เอาถ่านของตัวเอง”

เขาทำกิริยาส่ายหน้าราวกับได้รับการเหยียดหยามในศักดิ์ศรี

“ช่างเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ใจร้ายโหดเหี้ยมจริงๆ” เขาเล่นบทต่อ

ไรล์ลี่รู้สึกเหมือนโดนต่อยลงมาที่ท้องน้อย นี่เป็นเทคนิคที่เธอไม่ได้เตรียมตัวมารับมือ – เป็นการพลิกวิกฤตมโนสำนึก เขาแทงได้ถูกจุดเลย จุดที่เธอยังคงรู้สึกผิดและไม่แน่ใจในตัวเอง

เขารู้ว่าต้องเล่นเกมส์กับฉันยังไง เธอคิด

เธอรู้ตัวว่าต้องกลับเดี๋ยวนี้ ก่อนจะทำอะไรที่ต้องมานั่งนึกเสียใจภายหลัง และโดยไม่มีคำพูดใดอีกไรล์ลี่ลุกขึ้นจากโซฟาเดินออกไปนอกห้องนั่งเล่นตรงไปทางประตูทางเข้าด้านหน้า

 

เธอได้ยินเสียงวุฒิสมาชิกไล่หลังมา

“อนาคตในอาชีพคุณมันจบเห่แล้วเจ้าหน้าที่เพจ ผมอยากให้คุณรู้ไว้ซะ”

ไรล์ลี่เดินผ่านพ่อบ้านไปและออกไปทางประตูหน้า เดินกลับมาขึ้นรถของตัวเองและขับออกไป

คลื่นความโกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียว และความเหนื่อยหน่าย ประเดประดังใส่เธอ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเป็นเดิมพันแต่ไม่มีใครในโลกจะยื่นมือเข้าไปช่วยเลย เธอแน่ใจว่าวาล์วเดอร์คงจะแค่ขยายพื้นที่คนหาบริเวณแถวๆอพาร์ทเม้นท์ของกัมม์เท่านั้น แล้วเธอก็มั่นใจว่าพวกเขากำลังค้นหากันผิดจุด มันขึ้นอยู่กับเธอว่าจะจัดการอย่างไร แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแล้วเช่นกัน การมาที่นี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยอย่างที่เห็น นี่เธอยังจะเชื่อการตัดสินใจของตัวเองได้อีกหรือเปล่า?

ขับรถออกมายังไม่ทันถึงสิบนาทีโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอก้มลงดูและเห็นข้อความจากวาล์วเดอร์ ไม่ต้องเดาเลยว่าเกี่ยวกับอะไร

เอาเถอะ เธอคิดในใจอย่างขมขื่น อย่างน้อยวุฒิสมาชิกก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเลย